คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8751/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่แก่คู่สัญญาที่จะต้องพึงปฏิบัติตอบแทนซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่ายกล่าวคือถ้าพิจารณาในด้านของผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิที่จะได้รับผลงานตามสัญญาแต่ในขณะเดียวกันผู้ว่าจ้างก็มีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นการตอบแทนด้วยในทำนองเดียวกันหากพิจารณาในด้านของผู้รับจ้างผู้รับจ้างย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงินสินจ้างและในขณะเดียวกันผู้รับจ้างก็ต้องทำงานให้แก่ผู้ว่าจ้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาด้วยดังนั้นสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างของจำเลยจึงขึ้นอยู่กับผลงานที่จำเลยได้กระทำไปตามสัญญาจ้างทำของอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนและสัญญาดังกล่าวนี้ย่อมตกอยู่ในบังคับมาตรา122แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483กล่าวคือหากผู้คัดค้านเห็นว่าสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ผู้คัดค้านย่อมมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องได้มีหนังสือขอให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างซึ่งผู้ร้องเป็นผู้ว่าจ้างจำเลยก่อสร้างคลองส่งน้ำดาดคอนกรีต พร้อมอาคารชลประทาน ณ สถานีสูบน้ำบ้านบางหว้า อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ผู้คัดค้านมีคำสั่งปฏิเสธไม่รับสิทธิตามสัญญา เนื่องจากมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับ เป็นความผิดของจำเลย เนื่องจากไม่สามารถส่งมอบงานตามเงื่อนไขในสัญญาให้แก่ผู้ร้องภายในกำหนด การที่จำเลยอ้างว่ามีปัญหาเกี่ยวกับอุปสรรคในกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย เพราะสัญญาดังกล่าวได้ดำเนินการแก้ไขให้ลุล่วงไปแล้ว ทั้งผู้ร้องได้ต่ออายุสัญญาให้ถึง 3 ครั้งเป็นระยะเวลาถึง 510 วัน จำเลยจะนำมาอ้างขอยกเลิกสัญญาและขอคืนหนังสือค้ำประกันไม่ได้ การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเรียกค่าปรับและริบเงินประกันนั้น เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นพึงจะได้รับ หาใช่สิทธิตามสัญญาที่จำเลยได้รับมาไม่ ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจยอมรับหรือไม่ยอมรับเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมารวมในกองทรัพย์สินของจำเลย ขอให้ยกคำร้องของผู้คัดค้านและให้ผู้คัดค้านรับสิทธิตามสัญญาก่อสร้างของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยไม่สามารถเข้าทำการก่อสร้างได้ตามสัญญา เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับราษฎรในพื้นที่และกรรมสิทธิ์ที่ดิน อันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดจากบุคคลภายนอกขัดขวางมิให้จำเลยก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดการที่ผู้ร้องแจ้งว่าปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ได้สิ้นสุดแล้วเป็นการแจ้งเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยจึงมิใช่ผู้ผิดนัดตามมาตรา 205 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ผู้ร้องจึงไม่อาจใช้สิทธิปรับตามสัญญาได้ ผู้ร้องได้ใช้สิทธิริบหลักประกันตามสัญญาจำนวน 362,610 บาท แล้วผู้ร้องไม่ได้รับความเสียหาย สัญญาก่อสร้างดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนสิทธิตามสัญญาหาใช่สิทธิที่ผู้ร้องจะได้รับไปแต่ฝ่ายเดียวไม่แต่เป็นสิทธิที่ทั้งจำเลยและผู้ร้องต่างจะได้รับตามสัญญาผู้คัดค้านย่อมมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญานั้นได้ตามมาตรา 112แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างไต่สวน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ว่าผู้คัดค้านมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาตามมาตรา 122แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคำร้องและคำคัดค้านสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ ผู้คัดค้านย่อมมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องยื่นขอรับชำระหนี้สำหรับค่าเสียหาย ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาโดยอ้างว่ามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ได้หรือไม่ ซึ่งในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน2530 ผู้ร้องตกลงว่าจ้างให้จำเลยทำการก่อสร้างคลองส่งน้ำดาดคอนกรีตความยาว 3,000 เมตร ท่อส่งน้ำถึงบ่อพักน้ำยาว 115 เมตรบ้านพักพนักงานสูบน้ำ 1 หลัง อาคารควบคุมระบบไฟฟ้าและโรงเก็บพัสดุ1 หลัง รั้วลวดหนามพร้อมประตูตาข่ายและป้ายชื่อสถานี ฐานรองรับและท่อส่งน้ำ ณ สถานีสูบน้ำบ้านบางหว้า อำเภอเชียรใหญ่จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมเป็นเงิน 3,626,100 บาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 250 วัน จำเลยได้รับการต่ออายุสัญญา 3 ครั้ง เป็นเวลา510 วัน ครบกำหนดส่งมอบงานในวันที่ 28 ตุลาคม 2532 จำเลยได้ทำงานก่อสร้างไปบางส่วนแล้ว คงเหลืองานก่อสร้างและเงินงบประมาณค่าจ้างที่ยังมิได้เบิกจ่ายตามสัญญาจ้างจำนวน 2,205,189.77 บาทจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2536ต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2536 ผู้ร้องได้ขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและเข้าทำงานก่อสร้างคลองส่งน้ำให้แล้วเสร็จตามสัญญาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ผู้คัดค้านได้รับหนังสือ และใช้สิทธิปรับจำเลยเพราะเหตุส่งมอบงานล่าช้าตามสัญญาข้อ 19(1) อัตราวันละ3,627 บาท นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไป ถึงวันที่3 กุมภาพันธ์ 2537
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สัญญาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่แก่คู่สัญญาที่จะต้องพึงปฏิบัติตอบแทนซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย กล่าวคือถ้าพิจารณาในด้านของผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิที่จะได้รับผลงานตามสัญญา แต่ในขณะเดียวกันผู้ว่าจ้างก็มีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นการตอบแทนด้วย ในทำนองเดียวกันหากพิจารณาในด้านของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างย่อมมีสิทธิที่จะได้รับเงินสินจ้าง และในขณะเดียวกันผู้รับจ้างก็ต้องทำงานให้แก่ผู้ว่าจ้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาด้วย ดังนั้น สิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างของจำเลยจึงขึ้นอยู่กับผลงานที่จำเลยได้กระทำไปตามสัญญาจ้างทำของอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน และสัญญาดังกล่าวนี้ย่อมตกอยู่ในบังคับมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483กล่าวคือ หากผู้คัดค้านเห็นว่าสิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ ผู้คัดค้านย่อมมีอำนาจไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาได้ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share