คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8743/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 6
จำเลยกับ จ. ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงมาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองในระยะห่าง 14 เมตร โดยเล็งปากกระบอกปืนไปที่ตัวบ้าน มิได้เล็งปากกระบอกปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสองหรือบุคคลใดซึ่งอยู่ในบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยกับ จ. มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือบุคคลใด อีกทั้งจำเลยให้ปากคำว่ายิงปืนเข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 2 เพียงแค่ข่มขู่และแก้แค้นผู้เสียหายที่ 1 กับพวกที่ใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยกับ จ. เท่านั้น ไม่มีเจตนาฆ่าใคร พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2547 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งอายุพ้นเกณฑ์เยาวชนแยกดำเนินคดีต่างหาก ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองสั้น ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืนของเจ้าพนักงานประทับ กับกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 3 นัด ใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน และจำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปบริเวณบ้านเลขที่ 46/3 หมู่ที่ 5 ถนนแม่ทุเลา-ธารชะอม ตำบลไทยชนะศึก อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย อันเป็นเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัว เมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และโดยไม่มีเหตุอันสมควรแล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายพรเทพ ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่าและโดยไตรตรองไว้ก่อน จำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยกับพวกยังร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านนายดวงดี ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกกระจกบานเกล็ดหน้าต่างได้รับความเสียหายทำให้เสื่อมค่าและทำให้ไร้ประโยชน์ เป็นเงิน 2,000 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยได้และยึดอาวุธปืนกับกระสุนปืนจำนวน 2 นัด ดังกล่าวเป็นของกลาง กระสุนปืนของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 83, 91, 289, 358, 371 ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 358, 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสอง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน (ที่ถูก ให้เรียกกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91) เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ นิสัย อาชีพ สภาพแวดล้อม ทั้งสภาพความผิด ประกอบกับรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุโขทัยแล้วปรากฏว่าขณะกระทำความผิด จำเลยอายุ 17 ปีเศษ จึงสมควรลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 กึ่งหนึ่ง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกับฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 กับฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสารธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดเพราะความเยาว์วัย หากได้รับการขัดเกลานิสัยความประพฤติแล้วจะเป็นผลดีแก่จำเลยยิ่งกว่าการได้รับโทษจำคุก อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 6 (จังหวัดนครสวรรค์) มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี 6 เดือน ขั้นสูง 2 ปี นับแต่วันพิพากษา ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ เห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 กึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 18 เดือน และเมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 6 มีกำหนด 1 ปีนับแต่วันพิพากษา ข้อหาอื่นหนอกจากนี้ให้ยก ริบอาวุธปืนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถจักรยานยนต์มีนายจิรกิตต์ นั่งซ้อนท้ายแล่นไปตามถนนสายแม่ทุเลา – ธารชะอม เมื่อผ่านมาถึงบ้านเลขที่ 46/3 หมู่ที่ 5 ตำบลไทยชนะศึก อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นบ้านของนายดวงดี ผู้เสียหายที่ 2 บิดาของนายพรเทพ ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยชี้ให้นายจิรกิตต์ทราบว่าเป็นบ้านของวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายจำเลยกับนายจิรกิตต์มาก่อน นายจิรกิตต์ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวมายิงไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกกระจำบานเกล็ดหน้าต่างห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 แตกเสียหาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ายจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 83 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครับ พ.ศ.2534 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 หรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 3 นาฬิกา ผู้เสียหายทั้งสองและคนในบ้านนอนหลับหมดแล้วจำเลยกับนายจิรกิตต์ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงมาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองในระยะห่าง 14 เมตร โดยเล็งปากกระบอกปืนไปที่ตัวบ้าน มิได้เล็งปากกระบอกปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสองหรือบุคคลใด พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยกับนายจิรกิตต์มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองหรือบุคคลใดซึ่งเจือสมกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ที่จำเลยให้ปากคำว่ายิงปืนเข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 2 เพียงแค่ข่มขู่และแก้แค้นที่ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยกับนายจิรกิตต์เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาฆ่าใคร พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share