แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีนำที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสไปโอนให้บุคคลอื่นโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1480 วรรคสอง ได้กำหนดระยะเวลาให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นกำหนดระยะเวลาให้ใช้สิทธิเรียกร้อง ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ จึงเป็นเรื่องอายุความฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/9 ปัญหาเรื่องอายุความไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 193/29
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากันโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18795 พร้อมตึกแถวเลขที่ 213 แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ใน 2 ส่วน และวันที่ 6 กรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทเฉพาะส่วนที่เหลือของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ใน 2 ส่วน โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์ทราบว่ามีการจดทะเบียนนิติกรรมดังกล่าวเมื่อประมาณปี 2550 จำเลยที่ 2 เป็นน้องสาวของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นหลานของจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์เสียสิทธิในที่ดินและตึกแถวพิพาท ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและตึกแถวพิพาทที่จำเลยที่ 1 โอนให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 18795 เลขที่ดิน 1861 แขวงคลองเตย (บางกะปิฝั่งใต้) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้องถึกแถวเลขที่ 213 และให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยที่ 1 ในที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทดังกล่าวหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีนำที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสไปโอนให้บุคคลอื่นโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสจึงถือได้ว่าเป็นการจัดการสินสมรสโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคหนึ่งและมาตรา 1480 วรรคสอง บัญญัติว่า “การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น” จะเห็นได้ว่ากำหนดระยะเวลาให้ฟ้องคดีดังกล่าวเป็นกำหนดระยะเวลาให้ใช้สิทธิเรียกร้อง ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ จึงเป็นเรื่องอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 ปัญหาเรื่องอายุความไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ต้องห้ามมาตรา 193/29 ที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องเป็นการไม่ชอบ คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นทีว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวม ที่จำเลยที่ 1 โอนให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 หรือไม่ แต่เมื่อคู่ความต่างนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามประเด็นดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ในข้อนี้ได้ความว่าหลังจากจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ย่อมได้รับประโยชน์ตามข้อสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส” ซึ่งโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานดังกล่าว โจทก์ได้นำสืบพยานตามข้ออ้างของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กล่าวอ้างว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่ใช่สินสมรส ย่อมมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การอ้างว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ทางพิจารณาจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทแทนนางป่อหน่ำ มารดาจำเลยที่ 1 และนายป้อตุ้น พี่ชายจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ได้ที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยเสียค่าตอบแทน แต่ทางพิจารณาจำเลยที่ 2 และที่ 3 กลับนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายป้อตุ้นคนเดียว และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ได้ที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยไม่เสียค่าตอบแทน ขัดแย้งกับคำให้การ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทแทนนายป้อตุ้น ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงเป็นสินสมรสเพราะเป็นทรัพย์สินที่จะเลยที่ 1 ได้มาระหว่างเป็นคู่สมรสกับโจทก์การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับว่าโจทก์ไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินด้วย โจทก์ไม่ทราบว่ามีการทำนิติกรรมการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทและเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน แสดงว่าโจทก์มิได้ให้ความยินยอมทั้งเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนโจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น