คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงมีคำสั่งให้จำเลยหาหลักประกันหรือนำเงินจำนวน 1,620,000 บาท มาวางต่อศาลภายในกำหนด 1 เดือน เพื่อเป็นหลักประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยหาหลักประกันหรือนำเงินจำนวน 1,620,000 บาท มาวางต่อศาลย่อมเป็นที่สุด ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ได้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน และจำเลยตกลงแบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์ดังนี้ คือ บ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 34114 เลขที่ดิน 178 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ หมายเลขทะเบียน ตห 9969 กรุงเทพมหานคร เงินจากการรับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 35536 เลขที่ดิน 574 อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 475,000 บาท หากผู้ขายฝากไม่ดำเนินการไถ่ถอนหรือหลุดจากการขายฝาก จำเลยตกลงยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนทั้งหมด และเงิน 1,000,000 บาท จำเลยตกลงนำไปมอบให้โจทก์ภายในวันที่ 28 ตุลาคม 2554 ณ ที่ว่าการอำเภอพุทธมณฑล หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาแทนจำเลย และหากจำเลยผิดสัญญาให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยอมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินที่บังคับคดีนับแต่วันผิดนัดต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 69616 เลขที่ดิน 175 อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์และจำเลยออกขายทอดตลาด
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 7 มิถุนายน 2559 ขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 69616 เลขที่ดิน 175 อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ให้โอกาสจำเลยเข้าร่วมประมูลทรัพย์ด้วย ขัดต่อความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง และขอให้จำเลยวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ที่อาจได้รับความเสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร พยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า จึงให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันจำนวน 1,620,000 บาท ต่อศาลภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันนี้ เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า หากไม่วางเงินภายในกำหนดให้ถือว่าทิ้งคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาพอสรุปความได้ว่า โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้จำเลยวางหลักประกัน 1,620,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีคำสั่งให้จำเลยวางหลักประกันภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันนี้ คือวันที่ 9 สิงหาคม 2559 ดังนั้น จึงจะครบกำหนด 1 เดือน ในวันที่ 9 กันยายน 2559 ซึ่งจำเลยก็ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นและร้องคัดค้านก่อนถึงกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ให้เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (2) และ (3) ทำให้คำสั่งดังกล่าวและวิธีพิจารณาของศาลชั้นต้นต้องงดการพิจารณาไว้ทั้งหมด นอกจากนั้น จำเลยยังได้ทำคำร้องขอคัดค้านคำร้องของโจทก์และคัดค้านคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์ต่อศาลชั้นต้นไว้ด้วยแล้ว อีกทั้งจำเลยยังได้ทำคำร้องขอคัดค้านไว้ท้ายอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ว่าด้วยหมายบังคับคดีหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในชั้นบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกคำร้องของโจทก์และแก้ไขหมายบังคับคดีให้แก่จำเลยด้วยนั้น เห็นว่า กรณีมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าพฤติการณ์ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดฉบับลงวันที่ 17 มิถุนายน 2559 นั้น เป็นคำร้องที่ไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลชั้นต้นจึงเห็นสมควรให้จำเลยวางเงินหรือหาหลักประกันจำนวน 1,620,000 บาท ต่อศาลภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่มีคำสั่ง เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) และหากจำเลยไม่วางเงินภายในกำหนดดังกล่าวให้ถือว่าทิ้งคำร้อง แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามแต่กลับมายื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย โดยเห็นว่าคำร้องของจำเลยดังกล่าวเป็นคำร้องที่ยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง (เดิม) และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามมาตรา 296 วรรคห้า (เดิม) ซึ่งตามมาตรา 296 วรรคห้าตอนท้าย (เดิม) ได้บัญญัติว่าคำสั่งของศาลที่ออกตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยวางเงินหรือหาประกันต่อศาลย่อมเป็นที่สุด จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาต่อไปอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย โดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ แต่มิได้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share