แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ค่าสินค้า กฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ ก่อนที่โจทก์จะมีหนังสือถึงจำเลย โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามด้วยวาจาให้จำเลยชำระหนี้แล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระ ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โดยโจทก์ไม่จำต้องมีหนังสือเตือนซ้ำอีก เมื่อตามฟ้องและทางพิจารณาไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์จึงควรได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 400,176.56 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้รับสินค้าตามฟ้องไปจากโจทก์และจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับสินค้าไว้ในใบส่งสินค้าและใบเสร็จรับเงิน ตามเอกสารหมาย จ.2 ในระหว่างที่จำเลยขนสินค้าไปโดยทางรถยนต์ รถยนต์ที่บรรทุกสินค้านั้นได้ชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น รถยนต์ของจำเลยพลิกคว่ำและเกิดไฟไหม้รถเป็นเหตุให้สินค้าที่บรรทุกไปเสียหาย จำเลยได้นำสินค้าที่เหลือมาคืนให้โจทก์ คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อสินค้าตามฟ้องหรือเป็นเพียงผู้ขนส่ง” ฯลฯ
“ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อสินค้าตามฟ้องหาใช่เป็นผู้ขนส่งซึ่งรับจ้างขนส่งสินค้าให้โจทก์ไม่
เมื่อจำเลยเป็นผู้ซื้อสินค้าแล้ว แม้สินค้าที่จำเลยรับไปจะสูญเสียหายในระหว่างขนส่งด้วยเหตุอันจะโทษจำเลยมิได้ แต่ก็โทษโจทก์มิได้การสูญเสียหายนั้นย่อมตกเป็นพับแก่จำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์ แต่จำเลยต่อสู้ว่าได้นำสินค้ามาคืนให้โจทก์บางส่วน จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์เพียงใด
จำเลยมีนายเดช พูลสวัสดิ์ นายธงชัย เตชะกุลัง และนายสมคิด ตุ่มทอง เป็นพยานเบิกความประกอบคำจำเลยว่า รถยนต์ของจำเลยที่บรรทุกสินค้าไปได้ชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น รถยนต์ของจำเลยพลิกคว่ำ และเกิดไฟไหม้รถเป็นเหตุให้สินค้าเสียหายไปบางส่วน จำเลยได้นำสินค้ามาคืนให้โจทก์ประมาณ 800 ลัง พร้อมกับสินค้าที่ชำรุดอีก 2 คันรถบรรทุกขนาดเล็ก ฝ่ายโจทก์มีนายเฉลิม อยู่วิทยา กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์เป็นพยานว่า จำเลยนำสินค้ามาคืนนายเฉลียว อยู่วิทยา บอกว่าสินค้าเสียหายทั้งหมด พยานจึงไม่ยอมรับคืนโดยพยานไม่ได้ดูสินค้าด้วยตนเอง แต่นายเฉลียว อยู่วิทยา เบิกความว่าสินค้าที่ไฟไหม้และจำเลยนำมากองไว้นั้น ปัจจุบันบริษัทโจทก์ทำลายไปหมดแล้ว ปกติการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตจะเก็บจากจำนวนฝาขวด หากขวดแตกแต่ฝาขวดยังเรียบร้อยอยู่ สามารถไปขอคืนภาษีได้ เมื่อได้มาแล้ว ก็จะทำลายฝาขวดโดยวิธีเผาไฟถ้าฝาขวดถูกไฟไหม้ไปแล้วจะขอคืนภาษีไม่ได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สินค้าที่ซื้อขายกันนี้เป็นของเหลวซึ่งบรรจุอยู่ในขวดและมีฝาปิด ถ้าฝาขวดถูกไฟไหม้หมดจนเหลือแต่ขวดเปล่าจำเลยก็คงจะไม่นำมาคืนให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ที่นายเฉลิมกรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ว่าสินค้าเสียหายหมดก็ไม่ได้ดูด้วยตนเอง ส่วนนายเฉียวกลับว่าบริษัทโจทก์ได้ทำลายไปทั้งหมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่อาจนำฝาขวดไปขอคืนภาษีจากทางราชการได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนที่จะมีการฟ้องร้องเป็นคดีนี้ ทางโจทก์ได้ยอมจะลดราคาสินค้าให้จำเลยเหลือเพียง 300,000 บาท แต่จำเลยขอใช้ราคาให้ 100,000 บาท จึงไม่ตกลงกันเหตุที่โจทก์ยอมลดราคาให้จำเลยน่าจะเป็นเพราะสินค้ามิได้เสียหายไปทั้งหมด และโจทก์สามารถขอคืนภาษีจากทางราชการได้บ้าง ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดราคาสินค้าที่จำเลยนำมาคืนให้โจทก์เป็นเงิน 88,050 บาท โดยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาทเท่าที่โจทก์ยอมลดให้แก่จำเลย
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าส่งไปที่อื่นอันมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยยังไม่ได้รับจะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ค่าสินค้ากฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนที่โจทก์จะมีหนังสือถึงจำเลย โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามด้วยวาจาให้จำเลยชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยไม่ชำระย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โดยโจทก์ไม่จำต้องมีหนังสือเตือนซ้ำอีก แต่ตามคำฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด โจทก์จึงควรได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง
สรุปข้อวินิจฉัยดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ”