คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8719/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตอนต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยได้มาตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ตอนหลังโจทก์บรรยายฟ้องอีกว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทในคดีที่นาง ท. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์บังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2535 คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกคำร้อง นั้น คำให้การของจำเลยในตอนแรกที่ต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยอ้างว่าได้รับยกให้จาก น. ซึ่งได้ซื้อมาจากโจทก์ในทำนองเดียวกับที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างในคดีร้องขัดทรัพย์ จึงเป็นการยกข้อต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ตอนต้นที่กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ส่วนคำให้การตอนหลังของจำเลยที่ต่อสู้ว่า เมื่อโจทก์ได้รับคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยในคดีที่ ท. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์บังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์มิได้คัดค้านหรือโต้แย้งการครอบครองของจำเลย โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองเพราะเกินกว่า 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง จึงเป็นการยกข้อต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ตอนหลังที่กล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีร้องขัดทรัพย์ดังกล่าว เมื่อคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหลายข้อและแต่ละข้ออาจแยกกันได้เช่นนี้ จำเลยก็ชอบที่จะให้การโดยชัดแจ้งปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง หาใช่เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันจนถึงกับไม่มีประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครองไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1874 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 13,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงและนำสืบรับกันฟังได้ว่า โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ซึ่งทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2518 โดยด้านหลังของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีข้อความระบุห้ามโอนภายในห้าปีตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 นับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2528 ต่อมาเมื่อปี 2534 นางเทียบ ได้ฟ้องโจทก์ตามมูลหนี้กู้ยืมเงินต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 128,040 บาท แก่นางเทียบ แต่โจทก์ไม่ชำระ นางเทียบขอให้บังคับคดีนำยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาด จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้นางนงคราญ โดยวิธีมอบการครอบครองและรับเงินค่าที่ดินหมดแล้ว ต่อมานางนงคราญยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของจนปัจจุบัน คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกคำร้อง ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกา
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในประการที่ว่า คำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครอง การที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ว่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายในกำหนดระยะเวลาหรือไม่ เป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่อาจหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตอนต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยได้มาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ตอนหลังโจทก์บรรยายฟ้องอีกว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทในคดีที่นางเทียบ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์บังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเมื่อปี 2534 คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกคำร้อง โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์แต่จำเลยไม่ยอมออกไป เป็นการยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าว โดยโจทก์ได้แนบคำพิพากษาของศาลฎีกามาเป็นเอกสารท้ายคำฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และปรากฏว่าศาลฎีกายกคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยว่า นางนงคราญซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ในระหว่างกำหนดเวลาห้ามโอนตกเป็นโมฆะ การครอบครองที่ดินพิพาทของนางนงคราญตั้งแต่ซื้อมาจึงต้องถือว่าเป็นการครอบครองไว้แทนเจ้าของที่ดินพิพาท แม้จะพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้ว ก็ยังถือว่าครอบครองไว้แทนตลอดมาจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือหรือจนกว่าเจ้าของที่ดินพิพาทจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ การที่นางนงคราญโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาห้ามโอน ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่จำเลยมากไปกว่าสิทธิของนางนงคราญ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ต่อมา ส่วนเมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนแล้ว ไม่ปรากฏการแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือหรือเจ้าของเดิมแสดงเจตนาสละการครอบครอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิอ้างการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของได้ ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในตอนแรกที่ต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยอ้างว่าได้รับยกให้จากนางนงคราญ ซึ่งได้ซื้อมาจากโจทก์ในทำนองเดียวกับที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างในคดีร้องขัดทรัพย์ จึงเป็นการยกข้อต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ตอนต้นที่กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ส่วนคำให้การตอนหลังของจำเลยที่ต่อสู้ว่า เมื่อโจทก์ได้รับคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยในคดีที่นางเทียบเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์บังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมตั้งแต่เดือนธันวาคม 2534 แล้ว โจทก์มิได้คัดค้านหรือโต้แย้งการครอบครองของจำเลย โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองเพราะเกินกว่า 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่เดือนธันวาคม 2534 จึงเป็นการยกข้อต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ตอนหลังที่กล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีร้องขัดทรัพย์ดังกล่าว เมื่อคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหลายข้อและแต่ละข้ออาจแยกกันได้เช่นนี้ จำเลยก็ชอบที่จะให้การโดยชัดแจ้งปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง หาใช่เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันจนถึงกับไม่มีประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครองดังที่โจทก์ฎีกาไม่ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องแย่งการครอบครองแล้ววินิจฉัยชี้ขาดมาก็ดี หรือศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครองรวมกับประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ก็ดี คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองดังกล่าวนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของโจทก์ประการต่อมาที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่จำเลยร้องขัดทรัพย์ที่โจทก์อ้างและนำสืบได้ความว่า การครอบครองที่ดินพิพาทของนางนงคราญ ตั้งแต่ที่นางนงคราญซื้อมาจากโจทก์เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดเวลาห้ามโอนห้าปีนับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2528 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จะถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ และนางนงคราญได้โอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาห้ามโอน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่จำเลยมากไปกว่าสิทธิของนางนงคราญ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ต่อมาก็ตาม แต่เมื่อคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ถูกยึดทรัพย์คือที่ดินพิพาทมิได้เข้าไปในคดี คดีร้องขัดทรัพย์จึงเป็นข้อพิพาทระหว่างจำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องขัดทรัพย์กับนางเทียบ ป้าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ในคดีดังกล่าวเท่านั้น โดยโจทก์เองก็เบิกความรับว่า คำพิพากษาที่ยกคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยเป็นเรื่องระหว่างนางเทียบกับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้เข้าไปในคดี กรณีเช่นนี้จึงมิใช่เรื่องที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างเป็นความกับโจทก์เกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ซึ่งผู้ครอบครองทรัพย์สินไม่อาจอ้างการแย่งการครอบครองทรัพย์สินนั้นในระหว่างเป็นความกันขึ้นต่อสู้อีกฝ่ายหนึ่งได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย การที่โจทก์ถูกนางเทียบบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเมื่อปี 2534 และจำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ที่ดินพิพาทในภายหลังเมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนที่ดินพิพาทในวันที่ 14 ตุลาคม 2533 เมื่อโจทก์ได้รับคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยแล้วก็มิได้คัดค้านประการใด ซึ่งตามคำร้องขัดทรัพย์ของจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาจากนางนงคราญ พี่สาวจำเลย ซึ่งซื้อมาจากโจทก์โดยชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วคำร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยผู้ยึดถือที่ดินพิพาทได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ครอบครองว่าตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากนางนงคราญบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แล้ว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทในวันที่ 13 ธันวาคม 2539 จึงพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง และไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ของโจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share