แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างว่าตามตกลงกันว่าเมื่อเรียกร้องเงินแสนบาท จะไห้ค่าจ้างสองหมื่นถือเปนหลักคำนวนตามมากน้อยตามส่วนที่จะได้ดังนี้ถือว่าเปนข้อสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่พิพาทขัดต่อ พ.ร.บ.ทนายความ ม. 12(2) ย่อมเปนโมคะ และจะฟ้องเรียกค่าจ้างตามสมควนไม่ได้ด้วย
พ.ร.บ. ทนายความ ม. 12(2) นั้นแยกได้เปน 2 กรนี คือปลูกความโดยหามูลมิได้หย่าง 1 และแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์พิพาทอีกหย่างหนึ่งและทั้งสองหย่างนี้เปนเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
สัญญาจ้างว่าความตกลงกันว่าค่าทนายที่สาลตัดสินไห้ ยอมไห้เปนของทนายไนกรนีถอนฟ้องฯลฯ ดังนี้ ถ้าไม่ได้ถอนฟ้องทนายจะฟ้องไม่ได้.
ย่อยาว
จำเลยจ้างโจทเปนทนายโดยมีข้อสัญญาว่า “ผู้จ้างยอมไห้เรียกค่าจ้างไนการที่จะเรียกร้องส่วนได้ของผู้จ้างจากวงมรดกของหลวงนครฯ คิดเปนหลักคำนวนว่า เมื่อเรียกร้องเปนเงินแสนบาท จะยอมไห้ค่าจ้างสองหมื่นบาท ทั้งนี้ถือเปนหลักอนุโลม ตามมากน้อยตามส่วนที่จะได้ หากเรียกร้องไม่ได้ด้วยประการได ๆ ผู้จ้างจะไม่จ่ายค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างเลย” และไนสัญญาข้อต่อไปมีว่า ถ้ามีการถอนฟ้องยอมความหรือโอนคดีไห้ผู้อื่นว่าความแทนโดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทจำเลยยอมไห้ค่าทนายที่สาลตัดสินไห้แก่โจท คดีได้ความต่อไปว่า โจทได้ว่าความไนคดีที่จ้างกันนั้นจนชนะ ได้รับทรัพย์เปนราคาแสนบาทจำเลยไม่ไห้ค่าจ้าง โจทจึงฟ้องเรียกค่าทนาย ๒ จำนวนนั้น คือจำนวนแรกสองหมื่นบาท จำนวนที่สอง ๒๕๐๐ บาท ซึ่งสาลตัดสินไห้จำเลยไนคดีก่อนไช้เปนค่าทนายแทนโจทไนคดีนั้น
สาลแพ่งเห็นว่าข้อสัญญาขัดต่อ พ.ร.บ.ทนายความ พ.ส. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๒(๒) จึงคงพิพากสาไห้จำเลยไช้ค่าทนายเพียง ๒๕๐๐ บาท
โจทจำเลยอุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสายกฟ้องทั้งหมด
โจทดีกา สาลดีกาวินิฉัยว่า สัญญาจ้างว่าความข้อแรกเปนเรื่องโจทมีสิทธิแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เปนมูบพิพาทเปนการขัดต่อพ.ร.บ. ทนายความ ม. ๑๒(๒) ตามมาตรานี้แยกข้อความเปน ๒ ตอนคือปลุกความโดยหามูลมิได้หย่าง ๑ แบ่งเอาส่วนจากทรัพย์ที่พิพาทอีกหย่างหนึ่ง ไม่ไช่ว่าจะต้องประกอบกันทั้งสองหย่างและเรื่องทั้งสองหย่างนี้เปนการผิดร้ายคล้ายคลึงกันกดหมายจึงห้ามไม่ไห้ทำทั้งนี้มุ่งถึงความสงบเรียบร้อยของประชาชนเปนที่ตั้ง จึงเปนเรื่องขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และโจทจะขอไห้จำเลยไช้ค่าจ้างเปนจำนวนเงินตามสมควนไห้แก่โจทไม่ได้เพราะสัญญาจ้างขัดต่อความสงบก็เท่ากับไม่มีสัญญาจ้าง และการงานที่จำเลยทำไห้โจทก็เนื่องมาจากวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและสีลธัมอันดีนั่นเอง โจทจึงเรียกค่าจ้างหย่างหนึ่งหย่างไดดังกล่าวนั้นไม่ได้ ส่วนเงิน ๒๕๐๐ บาทโจทไม่ควนได้เพราะโจทจะได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อสัญญาที่กล่าวนั้นจึงไม่ต้องพิจารนาว่าสัญญาข้อนี้จะเปนโมคะหรือไม่ จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์.