แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 บัญญัติว่า “เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้…(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้” การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนจากเงินขายทอดตลาดที่ดิน ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้ล้มละลายมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ย่อมมีผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 อำนาจในการต่อสู้คดีนี้ของจำเลยที่ 1 จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 1 หามีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อสู้คดีด้วยตนเองไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งสำเนาคำร้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพื่อเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 7985 ตำบลบางพูด (บางพัง) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินครึ่งหนึ่งของหนึ่งในสี่ส่วนของจำเลยที่ 1
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทราบถึงการจดทะเบียนจำนองที่ดินสินสมรสและจำเลยที่ 1 นำเงินจากการกู้ยืมซึ่งจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นหลักประกันไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของผู้ร้อง มูลหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 จึงผูกพันถึงที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสด้วย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7985 ตำบลบางพูด (บางพัง) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวนครึ่งหนึ่งของหนึ่งในสี่ส่วนจากการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าว ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับผู้ร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นับแต่ส่งสำเนาคำร้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2545 และมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2547 ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ยังไม่พ้นจากการล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนเป็นคดีนี้แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพื่อเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินตามคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 บัญญัติว่า ” เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้…(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้” การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนจากเงินขายทอดตลาดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้ล้มละลายมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยย่อมมีผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 อำนาจในการต่อสู้คดีนี้ของจำเลยที่ 1 จึงตกอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 1 หามีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อสู้คดีด้วยตนเองไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งสำเนาคำร้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เพื่อเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ