คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเป็นพยานในชั้นพิจารณา คงมีแต่นาง ร. และเจ้าพนักงานตำรวจมาเบิกความรับรองคำให้การของ นางสาว บ. นางสาว ค.นางสาวม.และนายส.ซึ่งให้การไว้ในชั้นสอบสวนสอดคล้องต้องกันว่า วันเกิดเหตุจำเลยได้ว่าจ้างนางสาว ม. นางสาว ค. และผู้หญิงอีก 3 คน ซึ่งเป็นนักร้องให้ไปร้องเพลง โดยนั่งรถยนต์คันที่ผู้ตายขับไปด้วยกันจำเลยนั่งตอนหน้าทางด้านซ้ายผู้ตาย โดยนางสาว ม. และนางสาว ค.นั่งถัดจำเลยไปทางด้านซ้าย ส่วน ส. และคนอื่นนั่งอยู่กระบะหลังเมื่อรถยนต์หยุดตรงที่เกิดเหตุมีเสียงปืนดัง 1 นัด จากบริเวณหน้ารถจำเลยหลบหนีไปกับพวก และปรากฏตามบันทึกคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนว่า จำเลยนัดแนะกับผู้ตายว่า จำเลยจะทำทีเอาอาวุธปืนออกมาจี้ผู้ตายให้ผู้ตายหยุดรถ แล้วจำเลยจะฉุดนักร้องหญิง 1 คนไป แต่อาวุธปืนเกิดลั่นขึ้น 1 นัด ทั้งจำเลยเบิกความยอมรับว่า พนักงานสอบสวนไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และลงชื่อไว้ในคำให้การจริง ดังนี้ เชื่อได้ว่า นางสาว บ. นางสาว ค. นางสาว ม.และนาย ส. รู้เห็นเหตุการณ์ตามที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน แม้คำให้การในชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่า จะรับฟังดังคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาไม่ได้ แต่ไม่ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนและพยานดังกล่าวมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพนักงานสอบสวนและพยานจะแกล้งปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นผู้ทำให้ปืนลั่น กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยทำปืนลั่นขึ้นโดยไม่มีเจตนาฆ่า แต่เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงนายอาแวหรือสะแปอิง สะตะโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกที่บริเวณศีรษะ เป็นเหตุให้นายอาแวถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่รับข้อเท็จจริงบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องผู้ตายขับรถยนต์รับจ้างไปถึงที่เกิดเหตุได้หยุดรถแล้วในทันทีทันใดนั้นเองมีเสียงปืนดัง 1 นัด จากบริเวณที่ผู้ตายนั่งอยู่ กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณเหนือกกหูซ้ายทะลุออกทางหน้าผากด้านขวา วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลคริสเตียนอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเป็นพยานในชั้นศาลคงมีแต่นางรุสล๊ะเป็นพยานเบิกความว่า วันรุ่งขึ้นของวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา นายสันติมาบอกพยานว่าผู้ตายถูกจำเลยยิงพยานได้ไปดูผู้ตายที่โรงพยาบาล ผู้ตายพูดไม่ได้และถึงแก่ความตายเมื่อเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกวิชัยพยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า วันรุ่งขึ้นของวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 7 นาฬิกา นายสันติมาแจ้งต่อพยานว่า จำเลยยิงผู้ตาย พยานได้ร่วมชันสูตรพลิกศพผู้ตายและได้ระบุชื่อจำเลยพร้อมที่อยู่ของจำเลยในช่องชื่อผู้ที่ทำให้ตายไว้ในรายงานการชันสูตรพลิกศพด้วย และพยานได้ทำแผนที่เกิดเหตุโดยนายสันติเป็นผู้นำชี้ตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.3ซึ่งก็ได้ความตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องว่า มีการระบุชื่อจำเลยไว้ในช่องชื่อผู้ที่ทำให้ตาย และได้ความตามเอกสารหมายป.จ.3 ว่า มีการระบุชื่อนายสันติเป็นผู้นำชี้การทำแผนที่เกิดเหตุและมีลายมือชื่อในช่องผู้นำชี้ว่าชื่อสันติด้วย และโจทก์มีพันตำรวจโทพลเป็นพยานเบิกความเกี่ยวกับนายสันติว่าพยานรับสำนวนการสอบสวนคดีนี้จากพนักงานสอบสวนคนก่อนมาทำการสอบสวนต่อไปโดยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2529 ได้สอบสวนนายสันติ ซึ่งเพิ่งติดตามตัวมาเป็นพยานได้ ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 ได้ความตามเอกสารหมาย จ.5 ว่านายสันติให้การไว้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยและนักร้องหญิง 2 คน นั่งตอนหน้ารถมากับผู้ตายส่วนกระบะหลังรถมีนายสันติและคนอื่นนั่งมาด้วย เมื่อรถมาหยุดที่เกิดเหตุมีเสียงปืนดัง 1 นัด จากบริเวณที่นั่งตอนหน้ารถกระสุนปืนถูกผู้ตาย จำเลยลงจากรถแล้วหลบหนีไป นายสันติได้ไปบอกนางรุสล๊ะถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับคำเบิกความของนางรุสล๊ะในส่วนที่ว่านายสันติมาบอกว่าผู้ตายถูกยิง จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่านายสันติรู้เห็นเหตุการณ์ นอกจากนั้นโจทก์มีพันตำรวจโทฉลองเป็นพยานเบิกความว่าพยานร่วมกับร้อยตำรวจเอกวิชัยสอบสวนนางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะ และนางสาวนาหม๊ะเป็นพยานตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.2 และ จ.4 และพยานสอบสวนนางสาวคอตีเย๊าะเป็นพยานตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.3 และโจทก์มีพันตำรวจโทสุพจน์เป็นพยานเบิกความว่าพยานสอบสวนนางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะเป็นพยานเพิ่มเติมตามใบต่อคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ.4 พยานให้ร้อยตำรวจโทคำรณนำนางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะ ไปชี้ตัวจำเลยที่ศาลจังหวัดยะลานางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะ ชี้ตัวจำเลยว่า เป็นบุคคลที่ให้การถึงได้ถูกต้อง เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 และ ป.จ.4 นั้นพยานที่ให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวต่างให้การสอดคล้องต้องกันว่าวันเกิดเหตุจำเลยได้ว่าจ้างให้นางสาวนาหม๊ะ นางสาวคอตีเย๊าะและผู้หญิงอีก 3 คน ซึ่งเป็นนักร้องให้ไปร้องเพลงโดยนั่งรถคันที่ผู้ตายขับไปด้วยกัน จำเลยนั่งตอนหน้ารถทางด้านซ้ายข้างผู้ตายนางสาวนาหม๊ะและนางสาวคอตีเย๊าะนั่งถัดจำเลยไปทางด้านซ้ายตามลำดับ นายสันติและคนอื่นนั่งอยู่กระบะหลัง เมื่อรถหยุดตรงที่เกิดเหตุก็มีเสียงปืนดัง 1 นัด จากบริเวณตอนหน้ารถ จำเลยลงจากรถทางประตูรถด้านขวา และหลบหนีไปกับพวกที่มาด้วยกันบางคน ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของนายสันติด้วย และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.8 ก็ปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ว่าจำเลยนั่งรถมากับผู้ตายโดยนั่งติดกันและมีนักร้องหญิง 2 คน นั่งถัดจากจำเลย ส่วนคนอื่นที่มาด้วยกันนั่งอยู่กระบะหลัง จำเลยนัดแนะกับผู้ตายไว้ก่อนแล้วว่าจำเลยจะทำทีเอาอาวุธปืนออกมาจี้ผู้ตาย ให้ผู้ตายหยุดรถแล้วจำเลยจะฉุดเอานักร้องหญิง 1 คนไป จากนั้นให้ผู้ตายขับรถไปบอกทางบ้านของนักร้องดังกล่าวให้มาตกลงกับจำเลย เมื่อรถแล่นมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยจึงดำเนินการดังกล่าวโดยเอาอาวุธปืนสั้นชนิดทำเองจี้ที่บริเวณศีรษะผู้ตายโดยนิ้วมือจำเลยสอดอยู่ในโกร่งไกปืน มือจำเลยเกิดสั่นทำให้อาวุธปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายแต่อย่างใด เห็นได้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยในส่วนที่ยอมรับว่าจำเลยนั่งรถมากับผู้ตายโดยนั่งติดกันและมีบุคคลอื่นนั่งมาด้วยแล้วเกิดเหตุคดีนี้ สอดคล้องต้องกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะนางสาวคอตีเย๊าะนางสาวนาหม๊ะ และนายสันติ ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าพนักงานสอบสวนไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และจำเลยลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.8 จริง จึงเชื่อได้ว่าพนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยไว้ดังกล่าวโดยชอบ และเชื่อได้ว่านางสาวฮาบีบะห์ มิงดือเร๊ะนางสาวคอตีเย๊าะ นางสาวนาหม๊ะและนายสันติรู้เห็นเหตุการณ์ตามที่ให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 และ ป.จ.4 จริงแม้คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่าจะรับฟังดังคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาไม่ได้ แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนและพยานในชั้นสอบสวนดังกล่าวเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพนักงานสอบสวนและพยานดังกล่าวจะแกล้งปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันดังวินิจฉัยฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นผู้ทำให้กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตายจริง พยานหลักฐานจำเลยในเรื่องฐานที่อยู่หามีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อน กลับปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ว่า นางสาวคอตีเย๊าะและนางสาวนาหม๊ะให้การชั้นสอบสวนว่า ได้นั่งมาในตอนหน้ารถกับจำเลยและผู้ตายไม่ได้ยินจำเลยกับผู้ตายโต้เถียงกันแต่อย่างใด ได้แต่พูดคุยกันตามปกติในฐานะเป็นเพื่อนกันเท่านั้น พยานในชั้นสอบสวนของโจทก์ดังวินิจฉัยก็ไม่มีผู้ใดให้การว่าเห็นขณะจำเลยยิงปืน เมื่อจำเลยให้การชั้นสอบสวนว่าจำเลยทำปืนลั่นเป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกผู้ตายรูปคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยทำปืนลั่นขึ้นโดยไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่รับข้อเท็จจริงบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลย 2 ปี 3 เดือน

Share