คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะโจทก์ฟ้องคดี จำเลยยังประกอบกิจการอยู่ไม่ได้ ปิดกิจการแต่อย่างใด กรณียังไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 8(4) ข จำเลยยังนำสืบว่า นอกจากโจทก์แล้วจำเลยยังเป็นหนี้บริษัท ธ ประมาณ 8,000,000 บาทแต่จำเลยก็ยังมีสิทธิเรียกร้องหนี้สินจากลูกหนี้ของจำเลยโดยจำเลยได้ฟ้องกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการให้ชำระค่าก่อสร้างอาคารโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เป็นเงินประมาณ 61,000,000 บาท ซึ่งหากจำเลยชนะคดีและ ได้รับชำระหนี้แม้เพียงบางส่วน จำเลยก็สามารถจะชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นได้ทั้งหมด ข้อเท็จจริงจึง ฟังได้ไม่แน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว หนี้ตามคำฟ้องขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 จำเลยได้สั่งซื้อสีดูลักซ์ชนิดต่าง ๆ จากโจทก์รวม 15 ครั้ง ในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง จำเลยจะต้องชำระราคาค่าสินค้าภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับสินค้า โจทก์ได้ส่งสินค้าตามที่จำเลยสั่งและจำเลยได้รับสินค้าไว้ถูกต้องแล้ว คิดถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 601,256.33 บาท จำเลยสั่งจ่ายเช็ค3 ฉบับ ฉบับละประมาณ 200,000 บาท เพื่อชำระค่าสินค้าดังกล่าวเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 3 ฉบับ โจทก์จึงยังไม่ได้รับเงินค่าสินค้าดังกล่าว ซึ่งจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2536 คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย195,408.30 บาท รวมเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 796,664.63 บาทมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ โจทก์มีนายสุนทร อำไพจิระกิจ และนายกิตติพงษ์ เกียรติธนภูมิ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์มาเบิกความได้ความว่า หลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วได้ไปติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ แต่ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากจำเลยปิดกิจการ นายชูศักดิ์ สุบินเกษม กรรมการผู้จัดการของจำเลยได้หลบหนีไปและไม่ได้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างอีกต่อไปจำเลยไม่มีทรัพย์สินเหลือพอที่จะชำระหนี้ได้สถานที่ทำงานของจำเลยก็เปลี่ยนเป็นสำนักงานของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาถนนแจ้งวัฒนะไปแล้ว ส่วนจำเลยมีนางสาววลัยพร สุบินเกษม กรรมการคนหนึ่งของจำเลยมาเบิกความได้ความว่า จำเลยยังไม่ได้หยุดประกอบกิจการส่วนที่โจทก์อ้างว่าสำนักงานของจำเลยได้เปลี่ยนเป็นสำนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาถนนแจ้งวัฒนะนั้นก็เพราะได้ให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เช่าอาคารบางส่วนตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.2 นอกจากนี้ยังได้ความจากนางศรีสมรชื่นสมบัติ พยานจำเลยเจ้าพนักงานของศาลจังหวัดนนทบุรีผู้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีนี้ไปส่งให้จำเลยว่า ในการไปส่งหมายได้พบยามของบริษัทจำเลย ยามของบริษัทจำเลยแจ้งว่าผู้จัดการไม่อยู่ พยานจึงปิดหมายไว้ที่บ้านเลขที่ตามฟ้องซึ่งเป็นการสนับสนุนว่า จำเลยยังประกอบกิจการอยู่มิได้เลิกประกอบกิจการดังที่โจทก์นำสืบ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยยังประกอบกิจการอยู่ มิได้ปิดกิจการแต่อย่างใด กรณียังไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(4) ข นอกจากนี้จำเลยนำสืบว่า นอกจากเป็นหนี้โจทก์แล้ว จำเลยเป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล จำกัด ประมาณ 8,000,000 บาทแต่จำเลยก็ยังมีสิทธิเรียกร้องหนี้สินจากลูกหนี้ของจำเลย โดยจำเลยได้ฟ้องกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการให้ชำระค่าก่อสร้างอาคารโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ (หอวัง) จังหวัดนนทบุรีเป็นเงินประมาณ 61,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.6 ซึ่งหากจำเลยชนะคดี และได้รับชำระหนี้แม้เพียงบางส่วน จำเลยก็สามารถจะชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นได้ทั้งหมด ข้อเท็จจริงจึงยังฟังได้ไม่แน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share