คำสั่งคำร้องที่ 1752/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเกินกำหนด พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่ารอไว้สั่งเมื่อได้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้ว และนัดไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องโดยไต่สวนพยานจำเลยที่ 1 ได้ 1 ปากแล้วเห็นว่า ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องดังกล่าวได้ จึงให้งดการไต่สวนพยานของคู่ความทั้งสองฝ่าย และให้ถือว่าการไต่สวนเสร็จสิ้น แล้วมีคำสั่งว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ได้ทราบคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อไม่มีพฤติการณ์พิเศษอื่นใดนอกจากนี้ที่จำเลยที่ 1 จะยื่นฎีกาเมื่อล่วงพ้นกำหนดได้จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดแล้วจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ฯลฯ
จำเลยที่ 1 เห็นว่า การพิจารณาดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 เพราะจำเลยมิได้เสนอพยานที่ฟุ่มเฟือย หรือที่รับฟังไม่ได้ตามกฎหมายหรือพยานที่ประวิงคดีและที่ศาลเห็นว่าจำเลยได้รับหมายนัดโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 นั้น เจตนาอันแท้จริงของกฎหมายมาตราดังกล่าวเพียงเพื่อให้ถือเป็นการเพียงพอที่จะฟังว่าได้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ซึ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเด็ดขาดว่าต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อตีความตามกฎหมายหรือเจตนารมณ์อันแท้จริง ก็เพื่อไม่ให้คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้ว กฎหมายมีเจตนาที่จะให้โอกาสให้ความยุติธรรมแก่คู่ความ ขอศาลอุทธรณ์โปรดมีคำสั่งว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ใหม่ และให้ยกคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน59,925 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม2529 โดยจำเลยไม่มาศาล
วันที่ 15 กันยายน 2529 จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาพร้อมกับคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 180,178,187)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 191)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอยื่นฎีกาอ้างเหตุผลมา 2 ข้อ คืออ้างว่าไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพิ่งทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2529 คือวันได้รับคำบังคับ ซึ่งหมายความว่าการที่ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2529 นั้นไม่ชอบเพราะไม่ได้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ทราบก่อนข้อหนึ่ง และอีกข้อหนึ่งอ้างว่าทนายจำเลยที่ 1 หลงลืมไม่ได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเนื่องจากสมุดนัดความหล่นหาย สำหรับข้ออ้างข้อที่ 1 นั้นตามทางไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางพวงดำสวัสดี อายุ 51 ปีภริยาของนายน้อย สวัสดี ผู้เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1และช่วยขายของในกิจการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 1 ถือได้ว่ามีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 แล้วและข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปว่าในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นนายไพบูลย์ชมาฤกษ์ ทนายความของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำแถลงขอคัดคำพยานโจทก์จำเลยและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อประกอบการยื่นฎีกา แสดงว่าทนายความของจำเลยที่ 1 ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนั้น เท่ากับจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบด้วยกฎหมายในวันนั้นแล้วเช่นกัน เห็นว่าการดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) ไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ และการที่ทนายความของจำเลยที่ 1 หลงลืมไม่ยื่นฎีกาภายในกำหนดเพราะสมุดนัดความหายนั้นไม่ใช่เหตุตามกฎหมายที่จะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้วได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 ชั้นไต่สวนคำร้องขอยื่นฎีกา และสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ แต่ที่ศาลชั้นต้นสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาสามในสี่นั้นไม่ถูกต้อง และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระค่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จึงให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 โดยให้หักค่าคำร้องไว้ก่อน

Share