แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์แล้ว คดีไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยในเรื่องกรรมสิทธิ์ในชั้นอุทธรณ์อีก จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ และถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่จำนวนทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาเป็นอย่างเดียวกับในศาลชั้นต้นซึ่งผู้อุทธรณ์หรือผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาเดียวกับในศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง ศาลฎีกาต้องสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลย
สำหรับจำเลยที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มย่อมถือได้ว่าเป็นการทิ้งคำฟ้องอุทธรณ์ แม้จำเลยใดไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก็ตาม จำเลยนั้นก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไปก่อนแล้วจึงฎีกาขอคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยอมเสียเพิ่มไปก่อนได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และจำเลยได้สละประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทไปตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์แล้ว จำเลยกลับอ้างในฎีกาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่ดินในเขตชลประทานของกรมชลประทานอันเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 65, 66 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่ได้บัญญัติให้ยกเลิกมิซซังโรมันคาธอลิคว่าไม่เป็นนิติบุคคล แต่ได้บัญญัติรับรองไว้ว่านิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น และนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแห่งอำนาจหน้าที่ หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมายข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง
โจทก์เป็นมิซซังโรมันคาธอลิคเป็นนิติบุคคลอยู่ก่อนแล้วตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาดหลวงโรมันคาธอลิคในกรุงสยามตามกฎหมาย ร.ศ.128 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษยังใช้บังคับจนปัจจุบันนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายอื่นฉบับหนึ่งตามความหมายของ ป.พ.พ.มาตรา 65 โจทก์จึงย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอยู่ต่อไป
ย่อยาว
คดีทั้ง 29 สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษากับคดีหมายเลขดำที่ 160/2535, 195/2535 และ 999/2535 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยเรียงลำดับจากคดีหมายเลขดำที่ 159/2535 ถึง 164/2535 ที่ 166/2535 ที่ 167/2535 ที่ 169/2535 ถึง 176/2535 เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 ให้เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 187/2535 ซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 172/2535 เป็นจำเลยที่ 12 เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 188/2535 ถึง191/2535 ที่ 195/2535 ที่ 197/2535 ถึง 200/2535 ที่ 222/2535 ที่ 224/2535 เป็นจำเลยที่ 17 ถึงที่ 27 เรียกจำเลยร่วมในคดีหมายเลขดำที่ 195/2535 เป็นจำเลยที่ 28 เรียกจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 997/2535 และ 998/2535 เป็นจำเลยที่ 29 และที่ 30 เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีหมายเลขดำที่ 999/2535 เป็นจำเลยที่ 31 ถึงที่ 33 และเรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในคดีหมายเลขดำที่ 1000/2535 เป็นจำเลยที่ 34 ถึงที่ 38 แต่ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งแยกพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 160/2535 เนื่องจากคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ส่วนคดีหมายเลขดำที่ 195/2535 และ 999/2535 ถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้ฎีกา คดีคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะ 29 สำนวนนี้
โจทก์ทั้ง 29 สำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหมดและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 1772 และ 8506 ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกไป ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 30 ที่ 34 และที่ 37 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 8 ถึงที่ 11ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 19 ถึงที่ 29 และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 1772 และ 8506 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 9 ที่ 17 ที่ 24 ที่ 25 ที่ 26 และที่ 29 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท ให้จำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 10 ที่ 16 ที่ 22 และที่ 27 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท ให้จำเลยที่ 6 และที่ 8 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท ให้จำเลยที่ 11 และที่ 23 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 400 บาท ให้จำเลยที่ 14 และที่ 15 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท ให้จำเลยที่ 19 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 600 บาท และจำเลยที่ 20 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 900 บาท ส่วนจำเลยที่ 21 และที่ 28 ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายออกไป ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ที่ 7 ที่ 12 ที่ 13 ที่ 18 และที่ 30 ถึงที่ 38
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 8 ถึงที่ 11 ที่ 14 ถึงที่ 17 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 29 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 38 และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 8506 และให้จำเลยที่ 4 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท จำเลยที่ 7 เดือนละ 200 บาท จำเลยที่ 12 เดือนละ 500 บาท จำเลยที่ 13 เดือนละ 100 บาท จำเลยที่ 18 และที่ 30 เดือนละ 150 บาท จำเลยที่ 31 ถึงที่ 33 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท และจำเลยที่ 34 ถึงที่ 38 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยดังกล่าวและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 4 ที่ 7 ที่ 12 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 30 ที่ 31 ถึงที่ 33 และที่ 34 ถึงที่ 38 แต่ละสำนวนใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดให้จำเลยที่ 4 ที่ 7 ที่ 12 ที่ 18 ที่ 30 และที่ 34 ถึงที่ 38 ใช้ค่าทนายความรวมสำนวนละ 3,900 บาท จำเลยที่ 13 ใช้ค่าทนายความรวม 2,600 บาท จำเลยที่ 31 ถึงที่ 33 ร่วมกันใช้ค่าทนายความรวม 3,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 2,400 บาท จำเลยที่ 16 และที่ 27 ใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลรวมสำนวนละ 3,400 บาท และให้จำเลยที่ 1 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 11 ที่ 14 ที่ 17 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 25 ที่ 28 และที่ 29 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์สำนวนละ 900 บาท แทนโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 15 และที่ 26 ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 27 ที่ 29 ที่ 30 และที่ 34 ฎีกา โดยจำเลยที่ 4 ที่ 7 ที่ 12 ที่ 13 ที่ 18 ที่ 30 และที่ 34 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีทั้ง 29 สำนวนนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยผู้ฎีกาทุกสำนวนออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง คงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งและที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1772 และ 8506 ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเดิมอยู่ในโฉนดที่ 1772 ต่อมาเมื่อปี 2510 โจทก์ได้แบ่งแยกและได้โฉนดที่ดินใหม่คือโฉนดที่ 8506 จำเลยผู้ฎีกาทุกคนเว้นแต่จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 15 ที่ 23 และที่ 25 ได้มาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวโดยทำสัญญาเช่าด้วยตนเอง แต่จำเลยที่ 30 ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าแทนผู้เช่า ที่ดินพิพาทที่จำเลยผู้ฎีกาทุกคนอยู่อาศัย อยู่ในเขตที่ดินโฉนดที่ 8506 ของโจทก์ และโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยผู้ฎีกาทุกคนออกจากที่ดินพิพาทโดยชอบแล้ว
ปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า เดิมจำเลยผู้ฎีกาให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ แต่ได้สละข้อต่อสู้นั้นในชั้นอุทธรณ์แล้ว จะยังคงถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ในเมื่อชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์แล้วย่อมไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยในเรื่องกรรมสิทธิ์ในชั้นอุทธรณ์อีก จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จำเลยไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่จำนวนทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาเป็นอย่างเดียวกับในศาลชั้นต้น ซึ่งผู้อุทธรณ์หรือผู้ฎีกาต้องเสียตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาเดียวกับในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 150 วรรคสอง ศาลฎีกาต้องสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ยอมเสียเพิ่มตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันได้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 11 ที่ 14 ที่ 16 ที่ 17 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 25 และที่ 27 ถึงที่ 29 รวมทั้งค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาสำหรับจำเลยเหล่านี้ที่มิได้ขอฎีกาอย่างคนอนาถา และต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนของโจทก์ที่ยอมเสียเพิ่มตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ด้วย เพราะไม่มีเหตุที่จะเรียกเพิ่มจากโจทก์ได้เช่นกัน แต่สำหรับจำเลยที่ไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่ม อันได้แก่จำเลยที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 15 และที่ 26 นั้น เมื่อไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม ย่อมถือได้ว่าเป็นการทิ้งคำฟ้องอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 15 และที่ 26 จึงชอบแล้ว เนื่องจากว่าแม้จำเลยที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 15 และที่ 26 จะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก็ตามจำเลยที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 15 และที่ 26 ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปก่อน แล้วจึงฎีกาขอคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ดังเช่นจำเลยอื่น ๆ ที่ยอมเสียเพิ่มไปก่อนได้
ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง จำเลยผู้ฎีกาต่างให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่ในชั้นฎีกาจำเลยก็มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาแต่อย่างใด โดยจำเลยได้สละประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ไปตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์แล้ว แต่จำเลยกลับอ้างในฎีกาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่ดินในเขตชลประทานของกรมชลประทาน อันเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในปัญหาว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 65, 66 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่ได้บัญญัติให้ยกเลิกมิซซังโรมันคาธอลิคว่าไม่เป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด แต่ได้บัญญัติรับรองไว้ว่านิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น และนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแห่งอำนาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมายข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้ง เมื่อโจทก์เป็นมิซซังโรมันคาธอลิคเป็นนิติบุคคลอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาทหลวงโรมันคาธอลิคในกรุงสยามตามกฎหมาย ร.ศ.128ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษยังใช้บังคับจนปัจจุบันนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายอื่นฉบับหนึ่งตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 65 โจทก์จึงย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอยู่ต่อไป
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่โจทก์เสียเกินมาจำนวน 14,770.62 บาท แก่โจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยเสียเพิ่มมาจำนวน 60,880 บาท แก่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 11 ที่ 14 ที่ 16 ที่ 17 ที่ 19 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 25 และที่ 27 ถึงที่ 29 รวมทั้งค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนที่จำเลยดังกล่าวเสียเกินมาด้วย ค่าทนายความชั้นฎีกาทุกสำนวนให้เป็นพับ.