แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีผู้เป็นหุ้นส่วนสองคน คือโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด และจำเลยเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของห้างจนถึงขั้นฟ้องร้องเป็นคดีอาญา ไม่ปรองดองกัน หากจะเปลี่ยนตัวหุ้นส่วนผู้จัดการก็ไม่มีทางทำได้ เพราะมีจำเลยคนเดียวที่เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด จึงมีเหตุทำให้ห้างเหลือวิสัยที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1057 (3) ประกอบมาตรา 1080 ศาลย่อมพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกันได้
เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายขอให้เลิกห้าง อันเป็นการเลิกสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับจำเลยได้โดยตรง โดยไม่จำต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นจำเลยด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนา และตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชี กับบังคับให้จำเลยส่งมอบสมุดบัญชีและทรัพย์สินทั้งหมดของห้างที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยแก่โจทก์ในฐานะผู้ชำระบัญชี
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงว่า เงินค่าเวนคืนที่ดินครั้งที่สามจำนวน 46,711,573.33 บาท ได้มีการนำไปเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนา ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2536 แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนา เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีผู้เป็นหุ้นส่วนสองคน คือ โจทก์เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกห้างไปยังจำเลยแล้ว แต่จำเลยคัดค้าน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า มีเหตุเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนาหรือไม่ เห็นว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนา มีผู้เป็นหุ้นส่วนเพียงสองคน คือ โจทก์และจำเลย และเกิดมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับการเงินของห้าง โดยโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยไม่ได้นำเงินค่าเวนคืนที่ดินที่ห้างได้รับจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในงวดที่สามจำนวน 46,711,573.33 บาท ลงบัญชีเป็นรายรับของห้าง โจทก์จึงฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 และยักยอกทรัพย์ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ แม้คดีที่โจทก์ฟ้องนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้องและห้างยังมีทรัพย์สินอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่ไว้วางใจกัน มีกรณีพิพาทเกี่ยวกับการเงินของห้างจนถึงขั้นฟ้องร้องกล่าวหากันเป็นคดีอาญา ไม่ปรองดองกัน หากจะเปลี่ยนตัวหุ้นส่วนผู้จัดการก็ไม่มีทางทำได้เพราะมีจำเลยคนเดียวที่เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด จึงมีเหตุทำให้ห้างเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1057 (3) ประกอบมาตรา 1080 ศาลย่อมพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้เลิกกันเสียได้ และไม่จำต้องวินิจฉัยเหตุเลิกห้างกรณีผู้เป็นหุ้นส่วนบอกเลิกเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชีของห้าง…
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า โจทก์ต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนาเป็นจำเลยด้วยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนาเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายขอให้เลิกห้างอันเป็นการเลิกสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับจำเลยได้โดยตรง โดยไม่จำต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักงานที่ดินธานีพัฒนาเป็นจำเลยด้วย…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ