คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทที่มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญนั้น จะฟ้องร้องผู้กู้ให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้นไม่ได้หมายความเลยไปว่า หนี้แห่งการกู้ยืมจะเป็นโมฆะไปด้วยยังคงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ที่อาจมีการค้ำประกันได้ตามมาตรา 681
การที่ผู้กู้เป็นผู้เขียนสัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำให้ไว้แก่ผู้ให้กู้ มีข้อความแสดงว่าผู้กู้เป็นผู้กู้เงินของผู้ให้กู้ไป และผู้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เขียนด้วยนั้นถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามความหมายของมาตรา 653 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2504 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 6,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันถึงกำหนดทวงถามแล้วก็ไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กู้เงิน และไม่ได้ทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์ ความจริงมีว่า จำเลยที่ 1 จะขอกู้เงินโจทก์ 6,000 บาท โดยจะให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แต่จำเลยที่ 2 ติดธุระจึงลงชื่อในสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ยึดถือไว้ก่อน โดยที่ยังมิได้มีการกู้เงินกัน แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ออกจากบ้านจำเลยที่ 2 ไป โดยโจทก์อ้างว่าต้องไปเอาเงินจากผู้มีชื่อมาให้จำเลยที่ 1 กู้ ไปถึงบ้านผู้มีชื่อ โจทก์บอกว่ายังเอาเงินไม่ได้โจทก์ขอผัดจะนำเงินกู้มาให้จำเลยที่ 1ในวันหลัง จำเลยที่ 1 จึงไม่ยอมลงชื่อในสัญญากู้ ต่อมาโจทก์ขอผัดเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มิได้มีการกู้กัน จำเลยที่ 2 เคยขอสัญญาค้ำประกันคืน แต่โจทก์บอกว่า สัญญาค้ำประกันไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้มีการกู้เงินทั้งโจทก์ฉีกแล้ว เมื่อไม่มีการกู้เงินกัน สัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ก็ไร้ผล ขอให้ยกฟ้อง

ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีสอบถามโจทก์จำเลยแล้ว มีคำสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องเป็นการกู้ยืมเงินกว่า 50 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ยืมไว้ จะฟ้องร้องให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดใช้เงินไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันก็ตาม เมื่อหนี้ที่โจทก์อ้างและจำเลยที่ 2 ค้ำประกันนั้นไม่มีทางบังคับเอาจากจำเลยที่ 1 ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงนามเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ แต่จำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนในสัญญาค้ำประกัน ความในสัญญาค้ำประกันระบุว่า “ฯลฯ ในจำนวนเงินหกพันบาทถ้วนซึ่งนายหนู (จำเลยที่ 1)ผู้กู้ได้ทำสัญญากู้เงินของท่าน (โจทก์) ไปนั้นเป็นข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เขียนเอง ข้อความนี้แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 6,000 บาท และจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับรู้ข้อความนั้น จึงต้องถือว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามความในมาตรา 643 แล้ว โจทก์ย่อมฟ้องได้ส่วนจำเลยที่ 2 จะรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ ต้องอาศัยผลการวินิจฉัยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 2 ยังมีข้อต่อสู้กับโจทก์อีก จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

จำเลยที่ 1, 2 ฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความตามที่โจทก์จำเลยรับกันว่าเอกสารสัญญากู้นั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้ในสัญญา ส่วนสัญญาค้ำประกันนั้น จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนสัญญาค้ำประกัน โดยลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เขียนและพยาน เอกสารสัญญากู้และค้ำประกันอยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกันแต่คนละหน้า ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้นั้น ตามมาตรา 653 บัญญัติแต่เพียงว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 หาได้ไม่เท่านั้น ไม่ได้หมายความเลยไปว่า หนี้แห่งการกู้ยืมหากมีจริงจะเป็นโมฆะไปด้วย และหนี้ที่ไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ดังกล่าว ก็ยังเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ที่อาจจะมีการค้ำประกันกันได้ตามมาตรา 681 ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนสัญญาค้ำประกันอันมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินของโจทก์ไปนั้น เป็นข้อความแสดงแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 เป็นแต่ผู้เขียนเท่านั้น ไม่ควรหมายความเลยไปว่าจำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้กู้เงินของโจทก์ไปด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 มิได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืม เป็นหลักฐานในเอกสารนั้น หากโจทก์มีหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งอันอาจแสดงความเป็นหนี้ลงลายมือชื่อลูกหนี้มาอ้างแล้ว ก็ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามมาตรา 653 ได้ คดีนี้จำเลยที่ 1 ได้เขียนสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้กับโจทก์ และมีข้อความแสดงถึงว่า จำเลยที่ 1 เองเป็นผู้ได้กู้เงินของโจทก์ไป และจำเลยที่ 1 ก็ได้ลงลายมือชื่อผู้เขียนไว้ด้วยเช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่า เอกสารที่จำเลยที่ 1 เขียนนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามความหมายของมาตรา 653 ได้แล้ว ซึ่งโจทก์อาจใช้สิทธินำเอกสารนี้มาฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ได้สรุปแล้ว มีประเด็นเนื่องจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า ไม่ได้กู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งจะต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีนี้ใหม่ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share