คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อบังคับของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการเงินที่กำหนดให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายเงินต้องรับผิดใช้เงินคืน หากสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกินนั้น ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย เพราะผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายจะต้องรับผิดใช้เงินคืนต่อเมื่อสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกิน การสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกินโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหาย ก็เป็นการทำละเมิดซึ่งผู้ทำจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่แล้ว การที่มีข้อบังคับกำหนดความรับผิดซ้ำไว้อีกเป็นการอนุโลมตามบทกฎหมาย จึงหาเป็นโมฆะไม่
อายุความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด เริ่มนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นทหารประจำการดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายการเงินกองพลที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของทางราชการ มีหน้าที่ตรวจหลักฐานการรับจ่ายให้ถูกต้องก่อนรับและจ่ายเงินทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าถูกต้องจึงเสนอจำเลยที่ ๒ สั่งอนุมัติให้รับหรือจ่ายได้ ในปี พ.ศ.๒๔๙๑ ทางราชการกองพลที่ ๓ ได้เปิดกิจการออมสินรับฝากเงินจากข้าราชการกองพลที่ ๓ ขึ้น และถือว่ากิจการนี้เป็นราชการประเภทหนึ่ง อยู่ในความรับผิดชอบของพันโทอุดม และจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่รับเงินเข้าบัญชีตามหลักฐานใบนำฝากเงินที่พันโทอุดมนำฝาก จำเลยที่ ๑ ต้องเซ็นชื่อเป็นผู้ตรวจรับในหลักฐานในนำฝาก และตรวจหลักฐานการจ่ายในใบถอนเงิน เมื่อเห็นว่าถูกต้อง จึงเสนผ่านจำเลยที่ ๒ เซ็นอนุมัติ จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ตรวจหลักฐานว่าถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ หากเซ็นอนุมัติโดยเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปฏิบัติราชการบกพร่อง จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด ซึ่งจำเลยทราบข้อบังคับของกลางราชการดีอยู่แล้ว
ระหว่างวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๔ ตลอดมาถึงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๖ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบแบบแผน และข้อบังคับของทางราชการเกี่ยวกับการเงินโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ คือ จำเลยที่ ๑ ละเลยไม่ตรวจหลักฐานในการถอนเงินออมสินของข้าราชการกองพลที่ ๑ ที่พันโทอุดม จันทรประสพ ทำขึ้นเพื่อขอถอนเงินแต่ละคราวว่ามีเงินฝากเพียงพอจะถอนได้หรือไม่ แล้วเซ็นชื่อในช่องตรวจถูกต้องแล้ว และจำเลยที่ ๒ ประมาทเลินเล่อ เซ็นอนุมัติไปโดยไม่มีเจ้าพนักงานตรวจรับรองว่าถูกต้องเป็นเหตุให้พันโทอุดมถอนเงินฝากของข้าราชการกองพลที่ ๓ ไปเกินบัญชี ๗๖,๙๑๗.๒๒ บาท แล้วยักยอกเอาเงินไปเสีย ทำให้กองทัพบกได้รับความเสียหาย คณะกรรมการสอบสวนกระทรวงกลาโหมรายงานให้โจทก์ทราบ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ถึงตัวผู้ที่จะต้องรับผิด และคิดถัวเฉลี่ยให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้ ๕๙,๙๘๖.๖๖ บาท จำเลยที่ ๒ รับผิด ๑๐,๒๓๑.๘๕ บาท จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า มิได้ประมาทเลินเล่อ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า มิได้ประมาทหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการผิดระเบียบหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินรับผิดชอบ จำเลยซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการกองพลไม่ควรมีหน้าที่ต้องตรวจสอบเอกสารและตัวเลขกิจการออมสินไม่ใช่การงานในราชการ จำเลยไม่ควรต้องรับผิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ระเบียบแบบแผนข้อบังคับที่โจทก์อ้างไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้รับผิด คดีขาดอายุความ
ทางพิจารณา จำเลยทั้งสองรับว่า ข้อบังคับทหารบกและทหารอากาศว่าด้วยการเงิน ๗๙ ที่โจทก์ส่งศาลมีจริง และเป็นข้อบังคับว่าด้วยการเงินที่ใช้อยู่ขณะเกิดเหตุเรื่องนี้ จนบัดนี้ยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก แต่จำเลยถือว่าเป็นข้อบังคับที่ไม่ถูกต้อง ออกมาไม่ชอบกฎหมาย
โจทก์จำเลยรับกันว่าเงินออกสินฝากนี้ นายทหารฝ่ายการเงินเก็บรวมกับเงินประเภทอื่น ๆ และต้องนำลงบัญชีรายวันเงินสดทั้งรับและจ่ายรวมกับเงินประเภทอื่น ๆ จึงเป็นเหตุให้พันโทอุดมถอนเงินออกสินฝากได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงินออกสินเหลืออยู่เลย โดยเอาเงินประเภทอื่นมาจ่ายแทน
เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว จำเลยที่ ๑ ยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ เป็นอันยุติ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ให้เงิน ๑๐,๖๓๑.๘๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาคัดค้านว่า ข้อบังคับทหารบกและทหารอากาศว่าด้วยการเงิน ๗๙ กำหนดความรับผิดให้ข้าราชการซึ่งมิได้มีส่วนทำละเมิด ต้องรับผิด ใช้ความเสียหายแก่ทางราชการ จึงเป็นการออกข้อบังคับเพิ่มเติมความรับผิดของบุคคลในทางละเมิด ซึ่งได้มีกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ข้อบังคับนี้จึงตกเป็นโมฆะนั้นเห็นว่าข้อบังคับทหารบกและทหารอากาศว่าด้วยการเงิน ๗๙ กระทรวงกลาโหมบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นระเบียบปฏิบัติควบคุมการรับและจ่ายเงินในราชการของกระทรวงกลาโหม ไม่ปรากฎว่าข้อบังคับนี้ขัดแย้งหรือไม่ชอบด้วยบทกฎหมายใด แม้มาตรา ๒ ข้อ ๑๘ แห่งข้อบังคับนี้จะกำหนดให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายต้องรับผิดใช้เงินคืน หากสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกิน ก็ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายอันจะทำให้เป็นโมฆะ เพราะผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายจะต้องรับผิดใช้เงินคืนต่อเมื่อสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกิน การสั่งจ่ายผิดระเบียบหรือจ่ายเกินโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหาย ก็เป็นการทำละเมิดซึ่งผู้ทำจะต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง การที่ข้อบังคับนี้กำหนดรับผิดซ้ำไว้อีก เป็นการอนุโลมตามบทกฎหมาย ไม่เป็นการขัดแย้งต่อบทกฎหมายอันจะทำให้เป็นโมฆะ ทั้งตามฟ้องโจทก์ก็บรรยายว่า จำเลยที่ ๒ กระทำโดยประมาทเลินเล่อ เซ็นอนุญาตให้ถอนเงินในใบถอนซึ่งไม่มีผู้ตรวจลงนามรับรองว่าถูกต้อง เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ เป็นคำฟ้องที่ขอให้จำเลยที่ ๒ รับผิดฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๒๐ ด้วย หาใช่ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดชดใช้เงินตามข้อบังคับทหารบกและทหารอากาศว่าด้วยการเงิน ๗๙ เท่านั้นไม่
สำหรับประเด็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จะฟังว่ากองทัพบกได้ทราบเรื่องพันโทอุดมยักยอกตั้งแต่พ.ศ.๒๕๐๐ ก็ดี ก็เป็นการทราบเฉพาะตัวพันโทอุดมเท่านั้น ยังไม่ปรากฎว่ากองทัพบกได้ทราบว่าจะมีผู้ใดต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนนี้ในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายบ้างหรือไม่ กรมสารบรรณกองทัพบกเพิ่งได้รับรายงานคณะกรรมการเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิด ๕๙,๙๘๖.๖๖ บาท จำเลยที่ ๒ รับผิด ๑๐,๖๓๑.๘๕ บาท ซึ่งหากจะถือว่ากองทัพบกได้รู้ตัวผู้จะต้องรับผิดในวันที่ได้รับรายงานของคณะกรรมการ เมื่อนับถึงวันฟ้องก็ยังไม่เกิน ๑ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่จำเลยที่ ๒ ลงนามอนุญาตให้จ่ายเงินในใบถอนเงินออกสิน ๑๘ ฉบับ ซึ่งมีแต่เพียงพันโทอุดมลงนามเป็นผู้ถอน แต่ไม่มีผู้ช่วยฝ่ายการเงินลงนามว่าได้ตรวจรับรองถูกต้องเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ฟังได้ว่า การถอนเงินออมสินฝากนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเป็นผู้ขอถอน และต้องให้ผู้ช่วยฝ่ายการเงินตรวจลงนามรับรองว่าถูกต้องแล้ว ผู้บังคับบัญชาจึงจะสั่งอนุญาตให้จ่ายได้ จำเลยที่ ๒ ก็เบิกความรับว่า ต้องมีผู้ช่วยฝ่ายการเงินเช็นว่าได้ตรวจถูกต้องเสียก่อน จึงจะเสนอผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเซ็นอนุญาตให้จ่ายได้ ถ้าไม่มีผู้เซ็นตรวจ ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายจะไม่ยอมอนุญาต จะส่งใบถอนกลับคืนอนึ่ง ข้อบังคับทหารบกและทหารอากาศว่าด้วยการเงิน ๗๙ มาตรา ๒ ข้อ ๖ ก็กำหนดหน้าที่ของผู้ช่วยฝ่ายการเงินไว้ว่า มีหน้าที่ตรวจสอบว่า การที่จะรับหรือจ่ายเงินนั้นถูกต้องตามระเบียบแล้ว ฉะนั้น การที่จำเลยเซ็นอนุญาตให้จ่ายเงินในใบถอนเงินออมสิน ๑๘ ฉบับ ซึ่งมีแต่พันโทอุดมลงนามเป็นผู้ถอนฝ่ายเดียว ไม่มีผู้ช่วยฝ่ายการเงินลงนามรับรองว่าได้ตรวจถูกต้องแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบและข้อบังคับของทางราชการโดยไม่มีปัญหา การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่อ จึงต้องรับผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share