คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในวันเกิดเหตุตอนเช้าเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มีเหตุชกต่อยกับผู้ตายมาก่อน มีอาจารย์เข้ามาห้ามแต่จำเลยที่ 1 กับพวกก็ยังคงไม่ยุติ ออกติดตามหากลุ่มของผู้ตายต่อไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับพวก ยังต้องการพบผู้ตายด้วยสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด มิฉะนั้นคงไม่ออกติดตามจนกระทั่งมาพบผู้ตายตอนเย็นจำเลยที่ 1 ก็เดินเข้าไปหาผู้ตายทั้งๆ ที่ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 กับผู้ตายมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในตอนเช้า การเดินเข้าไปหาผู้ตายในลักษณะดังกล่าวนั้น ย่อมเล็งเห็นผลแล้วจะต้องเกิดเหตุทะเลาะวิวาทอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างแน่นอน ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ควรเข้าไปหาผู้ตายก่อน เพราะผู้ตายก็ยังมิได้ทำอะไรจำเลยที่ 1 ส่วนเหตุการณ์ในตอนเช้ายุติไปแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องเดินเข้าไปหาผู้ตายอีกการที่จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปหาผู้ตายโดยมีอาวุธปืนติดตัวเตรียมพร้อมมาด้วยจึงไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่น นอกจากต้องการมีเรื่องกับผู้ตายอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย และเมื่อเป็นการสมัครใจวิวาทซึ่งกันและกันแล้ว การที่ผู้ตายยิงจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ยิงผู้ตายเช่นเดียวกัน จึงหาอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวได้ไม่ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
อย่างไรก็ตามการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ภายหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 หยิบอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 แล้ววิ่งออกจากที่เกิดเหตุไป จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุการณ์คนละตอนกับความผิดตามฟ้องโจทก์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยและพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้น ย่อมเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาและความผิดดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ มีหมายเลขทะเบียน และกระสุนปืนรีวอลเวอร์ขนาดเดียวกัน 5 นัด ใช้ยิงได้อันเป็นของนายคง ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ไว้ในครอบครองโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าว ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย แล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายสุรวุฒิ ยิบพิกุล ผู้ตาย 1 ครั้ง โดยเจตนาฆ่า ลูกกระสุนปืนถูกที่ท้องของผู้ตาย ทะลุตับและปอด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดอาวุธปืน กระสุนปืนที่เหลือ 4 นัด ปลอกกระสุนปืนขนาด .38 อีก 1 ปลอก และลูกกระสุนปืนขนาดเดียวกัน 1 ลูก เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายสมศักดิ์ บิดานายสุรวุฒิ ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืน จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 9,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 9,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเสร็จแล้ว และคำให้การในชั้นสอบสวนกับทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม เมื่อรวมโทษหลังลดโทษแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 8 เดือน และปรับคนละ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อีกกระทงหนึ่ง ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองอายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 10 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน และปรับ 1,500 บาท ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน และปรับ 1,500 บาท รวมจำคุก 8 เดือน และปรับ 3,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นด้วย ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 1 เดือน 10 วัน ซึ่งไม่อาจรอการลงโทษได้ จำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 เดือน 10 วัน และปรับ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และผู้ตายเป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยที่ 1 และผู้ตายมีเหตุชกต่อยกันภายในวิทยาลัยดังกล่าวแล้วเลิกรากันไปเนื่องจากมีอาจารย์เข้ามาห้าม วันเดียวกันเวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 พบผู้ตายบริเวณฝั่งตรงข้ามกับหอพักศรีเมือง ผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ล้มลง จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการฆ่าผู้ตายหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับผู้ตายมิได้สมัครใจทะเลาะวิวาทกัน มิได้นัดหมายมายิงกันแต่เป็นการพบกันโดยบังเอิญก่อนเกิดเหตุผู้ตายใช้เท้าถีบจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ถีบผู้ตายสวนไป ผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ล้มลง จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยิงสวนไปถูกผู้ตาย 1 นัด การยิงของจำเลยที่ 1 เพียง 1 นัด จึงถือว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเพราะหากจำเลยที่ 1 ไม่ยิงสวนไปผู้ตายก็ต้องยิงจำเลยที่ 1 ซ้ำอย่างแน่นอน จำเลยที่ 1จึงไม่มีความผิดตามกฎหมาย ในประเด็นดังกล่าวนี้โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายวิชัย เบิกความว่า พยานเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันกับจำเลยทั้งสอง วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ถูกผู้ตายชก พยานจึงเข้าห้ามแต่พยานถูกต่อยด้วย พยานจึงต่อยสวนไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว หลังจากนั้นมีอาจารย์เข้ามาห้ามจึงได้เลิกรากันไป แต่พยานกับพวกยังออกติดตามหากลุ่มของผู้ตายภายในโรงเรียนแต่ไม่พบและพยานเบิกความตรงตามคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.3 นายสรจักร ภู่พันธ์ทอง เบิกความว่า พยานเรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรีเช่นเดียวกับจำเลยทั้งสองและมีความสนินสนมกันไปไหนมาไหนด้วยกัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ถูกกลุ่มของผู้ตายต่อย มีอาจารย์เข้ามาห้ามทั้งสองฝ่าย จึงหยุด หลังจากนั้นพยานกับพวกออกติดตามหากลุ่มผู้ตาย โจทก์และโจทก์ร่วม ยังมีนายพิทักษ์ ดิษฐวุฒิเบิกความเช่นเดียวกับนายวิชัยและนายสรจักรข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า หลังจากจำเลยที่ 1 กับผู้ตายมีเหตุทะเลาะวิวาทกันแล้วได้มีอาจารย์เข้ามาห้าม แต่ฝ่ายจำเลยที่ 1 กับพวกยังคงออกติดตามหากลุ่มของผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ต้องการให้เหตุการณ์ยุติลงเพียงแค่นั้น การออกติดตามหากลุ่มของผู้ตายแสดงว่าต้องมีเหตุหนึ่งเหตุใดมิฉะนั้นคงไม่ออกติดตาม แต่โชคดีที่ออกติดตามไม่พบในช่วงเช้า และปรากฏว่าในวันเกิดเหตุตอนเย็นจำเลยที่ 1 กับผู้ตายก็มาพบกันอีก โดยนายพิทักษ ดิษฐวุฒิ เบิกความว่า พยานขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายไปทางวัดพระรูป ระหว่างทางพยานพบกับนายยุทธนา ทองบุญเหลือ ซึ่งเป็นเพื่อนเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน นายยุทธนาทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 มีเรื่องกับผู้ตาย ขณะนั้นนายยุทธนานั่งคุยกับแฟนของนายยุทธนาที่หน้าหอพักศรีเมืองที่เกิดเหตุพยานจึงจอดรถคุยกับนายยุทธนา ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นพยานไม่ทันสังเกตว่าอยู่ที่ไหน ขณะนั้นพยานเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถจักรยานยนต์ ระหว่างนั้นพยานหันไปเพื่อจะดูว่าจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถหรือไม่ พยานเห็นจำเลยที่ 1 เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามหอพักเพื่อ ไปหาผู้ตาย ซึ่งกำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม พยานดูอยู่ตลอดเวลา พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด นัดแรกเห็นจำเลยที่ 1 ล้มลง ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ล้มลง พยานเห็นอาวุธปืน อยู่ในมือของจำเลยที่ 1 เห็นว่า ในวันเกิดเหตุตอนเช้าประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มีเหตุชกต่อยกับผู้ตายมาก่อน มีอาจารย์เข้ามาห้ามแต่จำเลยที่ 1 กับพวกก็ยังคงไม่ยุติออกติดตามหากลุ่มของผู้ตายต่อไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับพวกยังต้องการพบผู้ตายด้วยสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดมิฉะนั้นคงไม่ออกติดตาม ปรากฏข้อเท็จจริงต่อมาว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 กับพวกก็มาพบผู้ตายอีก จำเลยที่ 1 เดินข้ามถนน ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหาผู้ตายซึ่งตรงกับคำเบิกความของนางสาวคำฝัน การะเวกซึ่งเบิกความว่า ขณะยื่นพูดคุยกับผู้ตายพยานเห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาทางทิศ สะพานวัดพระรูปเข้ามาหาผู้ตาย พยานเข้าใจว่าจะมีเรื่องกัน จึงวิ่งเข้าไปในหอพัก หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดติดต่อกัน นอกจากนี้ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมยังตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งจำเลยที่ 2ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีปัญหาชกต่อยกับผู้ตายภายในวิทยาลัย เทคนิคสุพรรณบุรีในตอนเช้า หลังจากที่จำเลยที่ 2 ทราบแล้วได้นัดรวมเพื่อนๆซึ่งมีจำเลยที่ 2 นายวิชัย นายสรจักร นายพิทักษ์ และเพื่อนคนอื่นๆ ประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันแยกกันออกติดตามหาผู้ตายภายในวิทยาลัยแต่ไม่พบ และนัดรวมตัวกันใหม่ที่หน้าวิทยาลัยเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ไปยืนดักรอผู้ตายที่หน้าวิทยาลัยแต่ก็ไม่พบอีก จำเลยที่ 2 กับพวกทราบว่าผู้ตายจะต้องไปรับแฟนที่หน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี จึงพากันไปรอที่หน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี ตำบล ท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างที่ยืนรอผู้ตายจนถึงเวลาประมาณ 18.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 พบผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปทางสะพาน วัดพระรูปโดยมีผู้หญิงนั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยทั้งสอง นายพิทักษ์และเพื่อนๆ ต่างขับรถจักรยานยนต์ไล่ตามผู้ตายไปถึงบริเวณสี่แยกศรีเมือง หน้าหอพักศรีเมือง ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์บริเวณฝั่งตรงข้ามหอพักศรีเมือง จำเลยที่ 2 จอดรถและเห็นจำเลยที่ 1 เดินเข้าไปหาผู้ตายทำท่าจะต่อย ผู้ตายชักอาวุธปืนออกมายิงจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงชักอาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดเช่นเดียวกัน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นเพื่อนสนิทสนมกับจำเลยที่ 1 และเบิกความไปโดยมิได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด โดยพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า หลังจากจำเลยที่ 1 กับผู้ตายเกิดเหตุชกต่อยกันในตอนเช้าแล้วจำเลยที่ 1 กับพวกก็ยังคงออกติดตามหาผู้ตาย จนกระทั่งมาพบผู้ตายในตอนเย็น จำเลยที่ 1 ก็เดินเข้าไปหาผู้ตาย ทั้งๆ ที่ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 กับผู้ตายมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในตอนเช้า การเดินเข้าไปหาผู้ตายในลักษณะดังกล่าวนั้นย่อมเล็งเห็นผลแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุวิวาทอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นอย่างแน่นอนดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ควรเดินเข้าไปหาผู้ตายก่อน เพราะผู้ตายก็ยังมิได้ทำอะไรจำเลยที่ 1 ส่วนเหตุการณ์ในตอนเช้าก็ยุติไปแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องเดินเข้าไปหาผู้ตายอีก การที่จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปหาผู้ตายโดยมีอาวุธปืนติดตัวเตรียมพร้อมมาด้วยจึงไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นนอกจากต้องการมีเรื่องกับผู้ตายอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย และเมื่อเป็นการสมัครใจวิวาทซึ่งกันและกันแล้ว การที่ผู้ตายยิงจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ยิงผู้ตายเช่นเดียวกันจึงหาอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวได้ไม่ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นพยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังหักล้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ในส่วนนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ภายหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 หยิบอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 แล้ววิ่งออกจากที่เกิดเหตุไป จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ คนละตอนกับความผิดตามฟ้องโจทก์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยและพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนมานั้น ย่อมเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา และความผิดดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share