คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
คดีก่อนผู้ร้องฟ้องจำเลยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องโดยจำเลยขายให้ คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นโมฆะ ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ คดีนี้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์อ้างว่า ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง เหตุที่อ้างได้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคนละเหตุกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิมที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยโดยมิได้ฟ้องโจทก์ด้วยนั้นประเด็นมีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องผู้ร้องพิพาทกับโจทก์ ประเด็นมีว่าจะปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้หรือไม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีเดิม.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครอง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามที่อ้างเป็นการได้มาโดยทางอื่นมิใช่ได้มาโดยนิติกรรมและผู้ร้องยังมิได้จดทะเบียนการได้มา จึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้
ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามเรื่องราวสำนวนเดิมว่าผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคือที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนด เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๑ อ้างว่าจำเลยขายที่ดินทั้งหมดแก่ผู้ร้องแต่ทำนิติกรรมอำพรางว่าเป็นการจำนองที่ดินกับนางสาวเอิบสิริ คุณวิศาล คดีถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนด ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๓ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคือที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนด อ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดให้ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นให้รอฟังคำพิพากษาศาลฎีกาก่อนสืบพยาน ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่า ศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้วผู้ร้องไม่ประสงค์จะร้องขัดทรัพย์ต่อไปศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๕๐/๒๕๒๕ ระหว่างนางสาวน้ำทอง คุณวิศาล (ผู้ร้อง) โจทก์ที่ ๑ นางสาวเอิบสิริ คุณวิศาล โจทก์ที่ ๒ นายพิเศษ คงคาเขตรจำเลย ว่าศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยวินิจฉัยว่าการซื้อขายที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยเป็นโมฆะหลังจากนั้นผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดในครั้งนี้โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดมาตั้งแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมอำพรางการซื้อขายที่ดินจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ และได้ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งธนบุรี เพื่อขอให้ศาลพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดดังกล่าวแล้ว
พิเคราะห์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ผู้ร้องจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ และมีคำพิพากษารับรองก็เป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสุจริตไม่ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิมาร้องขัดทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสองบัญญัติว่า สิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังมิได้จดทะเบียนสิทธิ ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วแต่โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ โจทก์มิได้เป็นผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วมาร้องขัดทรัพย์คดีนี้ คำร้องคดีนี้จึงเป็นคำร้องซ้อนกับคำฟ้องของผู้ร้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องผู้ร้องพิพาทกับโจทก์และมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าจะปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้หรือไม่ ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยมิได้ฟ้องโจทก์ด้วยทั้งมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่จึงมิใช่เรื่องฟ้องซ้อน และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่๔๒๘๖/๒๕๒๓ ก็ดี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๔๐/๒๕๒๕ ก็ดีได้วินิจฉัยเพียงว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเพราะสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะเท่านั้น การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ใช้สิทธิครอบครองที่ดินทั้งยี่สิบสามโฉนดมาตั้งแต่วันที่ทำนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการซื้อขายที่ดินคือวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๔ เป็นต้นมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ เป็นการอ้างเหตุแห่งการได้กรรมสิทธิ์ขึ้นมาใหม่มิใช่อ้างเหตุเดิมจึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้วพิพากษายกคำร้อง สมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปให้สิ้นกระแสความ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share