แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยตกลงกันในระหว่างการพิจารณาในคดีที่พิพาทกันเรื่องมรดกว่าโจทก์จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดก ยอมให้จำเลยที่ 1 เก็บและจัดการไปฝ่ายเดียวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยแพ้คดีและต้องส่งเงินผลประโยชน์ให้กองมรดกแล้วจำเลยไม่มีส่งก็ให้ศาลบังคับเอาจากผู้ค้ำประกันได้ในวงเงินสองแสนบาทนั้น ข้อตกลงดังกล่าวนี้ไม่กินความไปถึงว่าให้จำเลยมีอำนาจให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีกเพราะคำว่า ให้จำเลยเก็บผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวนั้น หมายความเฉพาะเรื่องให้จำเลยเก็บเงินผลประโยชน์จากทรัพย์สินของกองมรดกในระหว่างคดีเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งอ้างว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลซึ่งอนุญาตให้จำเลยเป็นเพียงผู้เก็บค่าเช่า แต่กลับให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมภายหลัง แล้วเก็บเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเอง ฝ่ายจำเลยแถลงว่าจำเลยให้บุคคลเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรได้ตามข้อตกลงนั้นแล้วเช่นนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งในเรื่องนี้อย่างใด ถือว่าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา และเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาด้วย คำสั่งของศาลดังกล่าวนี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ฎีกาได้ภายในกำหนด 1 เดือนตาม ป.วิ.แพ่ง ม.228 วรรค 2
ย่อยาว
คดีนี้โจทย์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือพินัยกรรมที่ตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเป็นฉบับที่แท้จริงและชอบด้วยกฎหมาย
ในระหว่งการพิจารณาของศาลแพ่ง โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันว่า โจทก์จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดก ยอมให้จำเลยที่ ๑ เก็บและจัดการไปฝ่ายเดียวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยแพ้คดี และต้องส่งเงินผลประโยชน์ให้กองมรดกแล้ว จำเลยไม่มีส่ง ก็ให้ศาลบังคับเอาจากผู้ค้ำประกันได้ในวงเงินสองแสนบาท โดยนายจำนงค์ หุตานนท์ เป็นผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาค้ำประกันที่นายจำนงค์ หุตานนท์ ได้ทำให้ไว้ต่อศาลแพ่ง ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๔๙๔ และโจทก์จำเลยก็ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันนี้ไว้ด้วย
ครั้นต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ซึ่งอนุญาตให้แต่เพียงเป็นผู้เก็บค่าเช่า แต่กลับให้บุคลอื่นเช่าที่ดินในบ้านสภาพ (ที่ดินมรดก) ปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง แล้วเก็บเอาเงินค่าเช่าและเงินกินเปล่าเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเอง หากคดีถึงที่สุด โจทก์เป็นฝ่ายชนะจะทำให้เกิดความยุ่งยากแก่การบังคับคดีจึงขอให้ศาลห้ามจำเลยมิให้ปฏิบัติเกินขอบเขตของคำสั่งศาล หากจำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้เพิกถอนสิทธิเก็บค่าเช่าเสีย แล้วสั่งให้โจทก์เก็บส่งศาลรักษาไว้ต่อไป จนกว่าดคีจะถึงที่สุด จำเลยที่ ๑ แถลงรับตามรายงานพิจารณาของศาลแพ่งลงวันที่ ๓ ก.ย.๙๕ ว่า จำเลยได้จัดการให้บุคคลเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารนั้นเพื่อจะให้เกิดผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวนั้นหมายความว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องจัดการให้กองมรดกได้ผลประโยชน์เต็มตามที่ควรจะได้
ศาลแพ่งมีคำสั่งลงวันที่ ๕ ก.ย.๙๕ ห้ามมิให้จำเลยให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกของผู้ตายเพื่อปลูกสร้างอาคารขึ้นอีก ตั้งแต่วันที่ ๕ ก.ย.๙๕ อันเป็นวันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งห้ามจำเลยให้คนอื่นเช่านั้นเสีย และให้ยกคำร้องลงวันที่ ๗ ส.ค.๙๕ ของโจทก์
โจทก์ฎีกาต่อมาศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ตามคำแถลงรับของจำเลยว่า หลังจากที่ได้ตกลงกันต่อศาลแล้ว ต่อมาจำเลยได้ให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีก ปัญหามีว่า การที่จำเลยให้บุคคลเช่าที่ดินกองมรดกปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีกนั้น จำเลยมีอำนาจทำได้หรือไม่ การที่วินิจฉัยข้อความนี้ ก็ต้องพิจารณาข้อตกลงของคู่ความตามรายงานพิจารณาของศาล ลงวันที่ ๑๗ ก.ย.๙๔ ซึ่งศาลรับรู้และอนุมัติให้เป็นไปตามนั้น คำว่าให้จำเลยที่ ๑ เก็บผลประโยชน์และจัดการไปฝ่ายเดียวตามข้อตกลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หมายความเฉพาะแต่เรื่องให้จำเลยที่ ๑ เก็บเงินผลประโยชน์จากทรัพย์สินของกองมรดกในระหว่างคดีเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ทั้งผู้ค้ำประกันก็ค้ำประกันเงินผลประโยชน์ที่จำเลยที่ ๑ จะเก็บโดยจำกัดจำนวนความรับผิดชอบ ทั้งผู้ค้ำประกันถึงการที่จำเลยที่ ๑ จะจัดการหาผลประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วยไม่ ทั้งสาเหตุที่จะเกิดมีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ ๑ ก็เนื่องจากโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่า จำเลยเก็บเอาผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย ไม่ได้เก็บไว้เป็นกองกลาง จึงเห็นความมุ่งหมายได้ชัดว่าไม่ใช่ให้จำเลยมีอำนาจจัดการให้ใคร ๆ เช่าที่ดินของกองมรดกเป็นการเพิ่มข้อผูกพันแก่กองทรัพย์มรดกขึ้นอีก เพราะถ้าข้อตกลงดังกล่าวกินความถึงให้อำนาจจำเลยที่ ๑ ให้เช่าที่ดินกองมรดกได้ด้วย ทายาทผู้จะได้รับทรัพย์นั้น ๆ จำต้องรับข้อผูกพันตามข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ ๑ เรื่องให้จำเลยที่ ๑ เก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินกองมรดกและจัดการไปฝ่ายเดียว ตามรายงานพิจารณาของศาลแพ่ง ลงวันที่ ๑๗ ก.ย.๙๔ และสัญญาค้ำประกันลงวันที่ ๑๙ ต.ค.๙๔ นั้น ไม่กินความถึงว่าจำเลยที่ ๑ มีอำนาจให้เช่าที่ดินกองมรดกเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
เหตุนี้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลแพ่ง ลงวันที่ ๕ ก.ย.๙๕