คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างเป็นโจทก์ฟ้องซึ่งกันและกันเป็น 2 สำนวนตามข้อหาและคำให้การทั้ง 2 สำนวน เป็นหน้าที่โจทก์แต่ละสำนวนต้องนำสืบคดีของตนนั้นจะเกณฑ์ให้ฝ่ายหนึ่งสืบก่อนทั้งสองสำนวนย่อมไม่ชอบแต่เมื่อได้พิจารณาสืบพยานไปจนสิ้นกระแสความแล้วทั้งสองฝ่ายศาลสูงก็ไม่จำเป็นที่จะสั่งแก้ไข ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ฝ่ายหนึ่งนำสืบก่อนนั้น

ย่อยาว

ได้ความว่า เดิมนายถึกนางคูณโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่นา จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าเป็นของนายพรม ๆ ได้ทำพินัยกรรมยกให้นายเทียมจำเลย และนายเทียมเป็นโจทก์ฟ้องนายถึกนางคูณขอให้คืนเรือนและโคโดยว่าเป็นของนายพรม ๆ ทำพินัยกรรมให้ไว้ นายถึกนางคูณแก้ว่า นายพรมยกให้นายถึกนางคูณแล้ว และพินัยกรรมนั้นให้ไม่ได้

ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วฟังว่าพินัยกรรมทำขึ้นเมื่อนายพรมไม่มีสติ จึงพิพากษาให้นายถึกนางคูณโจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า โคเป็นมรดกของนายพรม

นายเทียมและนางขำฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อหาและคำให้การทั้ง 2 สำนวนมีใจความดังกล่าว ย่อมเป็นหน้าที่โจทก์แต่ละสำนวนต้องนำสืบคดีของตน จะให้ฝ่ายหนึ่งสืบก่อนทั้งสองสำนวนไม่ชอบ แต่เมื่อคดีได้พิจารณาสืบพยานไปจนสิ้นกระแสความแล้วทั้งสองฝ่ายการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน จึงไม่สมควรที่จะแก้ไข ส่วนข้อเท็จจริงฟังตามศาลอุทธรณ์

จึงพิพากษายืน

Share