คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2486

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ซื้อเชื่อโคต่อกัน แล้วมาทำเปนสัญญา+ ถือว่าเปนแปลงหนีไหม่
เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดนั้น ไม่ถือว่าเปนการอ่อนเวลาชำระหนี้ไห้ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้น.

ย่อยาว

โจทฟ้องเรียกเงิน ๒๓๐ บาท ๕๐ สตางค์จากจำเลยที่ ๑ ผู้เปนลูกหนี้ตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และขอไห้จำเลยที่ ๒ ไช้เงินจำนวนหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ ๑ ไห้การปติเสธ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ สัญญาจะไช้เงินพายไน ๖ เดือน เมื่อพ้นกำหนดนั้นแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่ไช้เงินโจทไม่ฟ้อง ปล่อยไห้ล่วงเลยมา ๙-๑๐ ปีจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด
สาลชั้นต้นฟังว่า หนี้ที่ฟ้องเปนหนี้ค่าซื้อเชื่อโค ยังไม่ได้แปลงหนี้ไหม่โจทฟ้องเกิน ๒ ปี คดีขาดอายุความ จึงพิพากสายกฟ้อง
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์ฟังตามสาลชั้นต้นว่า หนี้รายพิพาทยังมิได้มีการแปลงหนี้ไหม่ แต่เห็นว่าจำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไนคำไห้การ สาลจะยกขึ้นมาไช้เองไม่ได้ จึงพิพากสากลับไห้จำเลยที่ ๑ ไช้เงินไห้แก่โจท ถ้าไม่สามาถจะไช้ได้ไห้จำเลยที่ ๒ ไช้แทน
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่า ไนชั้นพิจารนาคู่ความรับกันว่า ที่ทำสัญญารับไช้หนี้และค้ำประกันก็เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าซื้อโคโจทหยู่ ๑๓๒ บาท สาลดีกาจึงเห็นว่า สัญญาที่โจทมาฟ้องนี้โดยสารลำดับไม่เปนสัญญาอันว่าด้วยหนี้ค่าซื้อโคแล้ว เปนสัญญาอีกหย่างหนึ่งทีเดียว สัญญานี้จึงระวังหนี้เดิมค่าซื้อโคตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิช มาตรา ๓๔๙ และฟังว่าคดีโจทยังไม่ขาดอายุความ ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๒ ดีกาว่าโจทได้ผ่อนเวลาไห้ลูกหนี้คือจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิด สาลดีกาเห็นว่า ตามข้อเท็ดจิงไม่ไช่เปนเรื่องผ่อนเวลาไห้ลูกหนี้ แต่เปนเรื่องที่ลูกหนี้คือจำเลยที่ ๑ ผิดนัด โจทก็เรียกไห้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้พิพากสายืนตาม.

Share