คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2895/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีที่ดินและต้องการจะก่อสร้างศูนย์การค้า โรงแรมโรงภาพยนตร์และอาคารพาณิชย์ โจทก์กับผู้มีชื่อจึงทำสัญญาร่วมลงทุนกันให้ก่อตั้งบริษัทจำเลยขึ้นประกอบกิจการต่างๆดังกล่าวแล้ว สัญญาข้อ 4 กำหนดว่า โจทก์ต้องอนุญาตให้จำเลยใช้ถนนทั้งสองข้างของโรงแรมจำเลย และจะต้องสงวนไว้ให้แก่จำเลยซึ่งสิทธิจอดรถที่ขอบถนน ข้อ 5(8) ว่าจำเลยต้องชำระเงินครึ่งหนึ่งของค่าก่อสร้างถนนให้แก่โจทก์เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บริษัทจำเลยที่จะตั้งขึ้นบริษัทจำเลยชอบที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นภายหลังได้ปรากฏว่าเมื่อบริษัทจำเลยตั้งขึ้นแล้วจำเลยได้ชำระค่าทำถนนให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว และมีพฤติการณ์ที่ถือว่าจำเลยได้ถือเอาประโยชน์จากสัญญาร่วมลงทุนแล้ว แม้ต่อมาสัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดหรือยกเลิกไป ก็หาทำให้สิทธิของจำเลยอันเกิดขึ้นแล้วระงับไปด้วยไม่
โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยว่า จะให้สิทธิใช้ที่ดินสำหรับตั้งเสาไฟฟ้าแก่จำเลยเพียงแต่จำเลยเข้าติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าตามที่โจทก์เสนอก็เป็นการสนองรับ มีผลให้สัญญาเกิดขึ้นแล้ว สัญญายินยอมให้ติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าในที่ดินเพื่อประโยชน์ร่วมกันเช่นนี้แม้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทรวม 11 ประเด็น เป็นประเด็นไม่ต้องสืบพยาน 1 ประเด็น ตกภาระโจทก์นำสืบ 8 ประเด็นตกภาระจำเลยนำสืบ 2 ประเด็น ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีภาระการพิสูจน์มากกว่า ทั้งประเด็นที่เป็นภาระจำเลยพิสูจน์ถึงจะให้โจทก์นำสืบก่อนโจทก์ก็ไม่เสียเปรียบ จึงให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น พยานหลักฐานในประเด็นที่โจทก์แย้ง เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน แม้โจทก์นำสืบก่อน จำเลยก็ถามค้านให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายและนำสืบถึงข้อความเหล่านั้นโดยบริบูรณ์แล้วโจทก์หาเสียเปรียบไม่ ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากับโจทก์ มอบภารจำยอมในที่ดินซึ่งเป็นทางเข้าออกไปยังเขตด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย ให้โจทก์มีทางออกไปยังร้านที่โจทก์กำลังก่อสร้าง ต่อมาจำเลยทำประตูปิดกั้นทางเข้าออกดังกล่าว จำเลยทำให้ภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์และละเมิดสิทธิโจทก์โดยติดตั้งป้ายชื่อโรงแรมของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทำกันสาดหน้าโรงแรมรุกล้ำที่ดินโจทก์ จำเลยใช้ที่ดินโจทก์เป็นที่จอดรถของจำเลยและของบุคคลอื่น จำเลยติดตั้งถังแก๊สใต้ดินต่อท่อแก๊สผ่านที่ดินโจทก์ จำเลยต่อสายไฟฟ้าแรงสูงในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ที่ดินได้ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยเปิดทางเดิน รื้อถอนป้ายรื้อกันสาด ห้ามจอดรถในที่ดินโจทก์ รื้อถอนท่อแก๊ส และรื้อถอนเสาไฟฟ้า และชดใช้ค่าเสียหาย 1,000,000 บาท

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ทางที่จำเลยปิดมิใช่ทางภารจำยอม จำเลยทำประตูในที่ดินของจำเลยในเวลาจำกัด ไม่เป็นการผิดสัญญาหรือละเมิดโจทก์ไม่เสียหาย ส่วนที่ว่าจำเลยสร้างป้ายโรงแรมตั้งถังแก๊สต่อท่อแก๊ส ทำกันสาดหน้าโรงแรม และติดตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูงนั้น ทำตามสัญญาร่วมลงทุนและเพื่อประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลย โดยโจทก์รู้เห็นยินยอมมาแต่ต้น โจทก์ขายหุ้นในบริษัทจำเลยแล้วมาฟ้องให้รื้อถอน เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่เสียหาย คดีขาดอายุความ จำเลยมีสิทธิภารจำยอมเหนือที่ดินโจทก์ โจทก์ทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมของจำเลยลดลงโดยก่อฐานคอนกรีตทำให้ถนนแคบลง ก่อสร้างศาลพระภูมิอาคารพาณิชย์ในที่ดินภารยทรัพย์ ขอให้โจทก์รื้อถอนฐานคอนกรีต ศาลพระภูมิเสาอาคารและหลังคาอาคารพาณิชย์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์มีภารจำยอมเหนือที่ดินตรงที่ก่อสร้างเสาเหล็กซึ่งเว้นว่างไว้ไม่ได้ใช้เป็นทางเดินและโจทก์รื้อแล้ว ศาลพระภูมิและเสาอาคารพาณิชย์ไม่ได้รุกล้ำที่ดินภารจำยอม หากรุกล้ำก็ไม่ทำให้ประโยชน์ภารจำยอมลดลงเกี่ยวกับหลังอาคารพาณิชย์จำเลยฟ้องแย้งไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้โต้แย้งสิทธิจำลย และไม่ทำให้ประโยชน์ภารจำยอมลดลง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์รื้อถอนฐานคอนกรีต ทั้งหมดที่โจทก์ก่อสร้างขึ้นเพื่อรับเสาเหล็ก ห้ามสร้างเสา ให้รื้อถอนฐานคอนกรีตและเสาเหล็ก ถ้าไม่รื้อให้จำเลยรื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายคำขอจำเลยนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางเดินที่ปิดทุกแห่งตามสัญญาภารจำยอมที่ได้จดทะเบียนไว้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ให้โจทก์รื้อศาลพระภูมิเสาอาคารพาณิชย์เฉพาะส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินภารจำยอม ถ้าโจทก์ไม่รื้อให้จำเลยรื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับการจอดรถในถนนที่ดินโฉนดเลขที่ 8774และโฉนดเลขที่ 8775 ของโจทก์นั้น ได้ความว่าสัญญาร่วมลงทุนเอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.11 ข้อ 4 วรรคแรก ตอนต้น กำหนดว่า โจทก์ต้องอนุญาตให้จำเลยใช้ถนนทั้งสองข้างของโรงแรมจำเลยและจะต้องสงวนไว้ให้แก่จำเลยซึ่งสิทธิจอดรถที่ขอบถนน สัญญาข้อ 5(8) กำหนดว่า จำเลยต้องชำระเงินครึ่งหนึ่งของค่าก่อสร้างถนนดังกล่าวให้แก่โจทก์ เห็นว่า สัญญาร่วมลงทุนเอกสารหมาย จ.9 หรือ ล.11 เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บริษัทจำเลยที่จะตั้งขึ้น บริษัทจำเลยชอบที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นในภายหลังได้ ปรากฏว่าเมื่อบริษัทจำเลยตั้งขึ้นแล้วจำเลยได้ชำระค่าทำถนนให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาร่วมลงทุน ได้ใช้และให้ผู้ที่มาติดต่อกับจำเลยใช้และจอดรถที่ถนนทั้งสองสายตลอดมา ทั้งเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2513 โจทก์ได้จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่613 เฉพาะส่วนที่ต่อมาแบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 8774 และโฉนดเลขที่ 8775 ตกเป็นภารจำยอมเรื่องทางเดินเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6764 ของจำเลยพร้อมกันนั้นโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาภารจำยอมกันไว้ตามเอกสารหมาย ล.5 แผ่นที่ 3 มีความในข้อ 1 ว่า โจทก์ยอมมอบภารจำยอมในที่ดินล้อมรอบให้แก่จำเลยในรูปสิทธิผ่านถนนส่วนบุคคลทางด้านทิศเหนือมีความกว้าง 18 เมตร และทางด้านทิศใต้มีความกว้าง 17 เมตรครึ่งจึงเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยถือเอาประโยชน์จากสัญญาร่วมลงทุนแล้ว แม้ตามรายการจดทะเบียนและสัญญาภารจำยอมมิได้ระบุถึงสิทธิจอดรถไว้ด้วย แต่ได้ความว่าหลังจากจดทะเบียนและทำสัญญาภารจำยอมแล้วผู้ที่มาติดต่อกับจำเลยก็ยังจอดรถที่ถนนทั้งสองสายต่อมา โจทก์เพิ่งว่ากล่าวทักท้วงเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2517 ดังปรากฏจากรายงานการประชุมร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยเพื่อพิจารณาปัญหาข้อขัดแย้งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2517 ตามเอกสารหมาย จ.33 เห็นได้ว่าการจดทะเบียนภารจำยอมก็ดีการทำสัญญาภารจำยอมก็ดีเพียงเพื่อให้เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุน ส่วนหนึ่ง โจทก์จำเลยหาได้ประสงค์เลิกสิทธิในการจอดรถที่จำเลยได้มาตามสัญญาร่วมลงทุนไม่ ที่โจทก์อ้างว่าบัดนี้คู่สัญญาตามสัญญาร่วมลงทุนมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาร่วมลงทุนกันแล้ว เช่นการเลือกตั้งกรรมการและทุนของจำเลยมิได้เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุนถือว่าสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดไปแล้ว และความตามสัญญาร่วมลงทุนข้อ 7 มีว่า “การบอกเลิกสัญญาฉบับนี้อาจจะเป็นผลของความยินยอมของทั้งสองฝ่าย หรือของการโอนซึ่งผลประโยชน์ภายใต้บังคับแห่งข้อ 8 และข้อ 9 ของหนังสือเพียงเท่านั้น” การที่โจทก์ได้โอนขายหุ้นที่ถือในบริษัทจำเลยไปหมดแล้ว ถือว่าสัญญาร่วมลงทุนได้ยกเลิกไปหมดแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อสิทธิที่จะจอดรถในถนนทั้งสองสายตามสัญญาร่วมลงทุนเป็นของจำเลยตั้งแต่จำเลยแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้นแล้ว แม้ต่อมาสัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดหรือยกเลิกไปดังโจทก์อ้าง ก็หาทำให้สิทธิของจำเลยอันเกิดขึ้นแล้วระงับไปด้วยไม่ เพราะสัญญาร่วมลงทุนมิได้กำหนดไว้เช่นนั้น เมื่อสิทธิจอดรถที่ขอบถนนโฉนดเลขที่ 8774 และ 8775 เป็นของจำเลย ผู้ที่มาติดต่อกับจำเลยจึงมีสิทธิจอดรถในที่ดังกล่าวได้โดยชอบ โจทก์จะขอให้ห้ามหาไม่ได้

ส่วนในเรื่องจำเลยติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าแรงสูงในที่ดินโฉนดเลขที่ 8775, 613 และ 1591 ของโจทก์ นำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่โรงแรมอินทราของจำเลยนั้น ได้ความว่า ในการติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าดังกล่าวนี้โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยตามเอกสารหมาย ล.12 เรียกว่า “สัญญาเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในการใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการติดตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้านครหลวงตามที่ได้ระบุไว้ในแบบแปลนที่แนบหมายเลข เอช.พี001” มีใจความสำคัญว่า โจทก์จะให้สิทธิใช้ที่ดินสำหรับตั้งเสาไฟฟ้าแก่จำเลย โดยจะคิดค่าเช่าพอเป็นพิธีเป็นรายปี อายุการเช่าจะต้องอย่างน้อย 15 ปี โดยให้สิทธิต่ออายุการเช่าเมื่อครบระยะเวลาสิบห้าปี จำเลยจะยอมให้โจทก์มีสิทธิจะต่อสายไฟเพื่อใช้ไฟฟ้าจากสายไฟฟ้าหรือหม้อแปลง ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่สมควรหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์กับนายเล็งเลิศเป็นผู้ลงชื่อในหนังสือนี้ในฐานะกรรมการบริษัทโจทก์ แล้วนายอดุลย์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทโจทก์และจำเลยได้บันทึกและลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2513 มีข้อความที่บันทึกว่า เห็นชอบในหลักการโดยให้เป็นตามข้อตกลงที่สมควรและเห็นชอบของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์และนายเล็งเลิศ และได้ความต่อไปว่าเมื่อจำเลยได้ติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าแล้ว สายไฟฟ้าที่โจทก์ได้ขึงติดกับสายไฟฟ้าจากเสาต้นหนึ่ง โดยทางการไฟฟ้าเอาไปติดแปะไว้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าแรงสูงในที่ดินของจำเลยก็เพื่อนำไฟฟ้าไปใช้ในโรงแรมอินทรา อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของโจทก์และจำเลย หาใช่โจทก์ไม่ได้รับประโยชน์จากเสาและสายไฟฟ้านี้ไม่ และที่โจทก์อ้างว่าเอกสารหมาย ล.12 เป็นเพียงข้อเสนอของโจทก์จำเลยไม่เคยสนองรับสัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้นนั้น เห็นว่าเพียงแต่จำเลยเข้าติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าตามที่โจทก์เสนอก็เป็นการสนองรับ มีผลให้สัญญาเกิดขึ้นแล้ว สัญญายินยอมให้ติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าในที่ดินเพื่อประโยชน์ร่วมกันเช่นนี้ แม้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าตามเอกสารหมาย ล.12 จำเลยต้องจ่ายค่าเช่าให้โจทก์แต่จำเลยหาได้จ่ายไม่ จึงต้องรื้อถอนเสาและสายไฟฟ้าออกไปนั้น ปรากฏว่าฟ้องโจทก์มิได้ ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยให้ดังนี้จำเลยจึงติดตั้งเสาและสายไฟฟ้าในที่ดินของโจทก์โดยชอบ โจทก์จะให้จำเลยรื้อถอนไปหาได้ไม่ อนึ่ง เกี่ยวกับปัญหาเรื่องกันสาด ป้ายชื่อ ถังแก๊ส ท่อแก๊ส เสาและสายไฟฟ้าแรงสูงนี้ โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น รวมทั้งประเด็นที่ว่า มีข้อตกลงอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและตกภาระจำเลยนำสืบ ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะจำเลยได้นำพยานบุคคลมาเบิกความปรักปรำโจทก์ ข้อนี้ได้ความว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทรวม 11 ประเด็น เป็นประเด็นไม่ต้องสืบพยาน 1 ประเด็น ตกภาระโจทก์นำสืบ 8 ประเด็น ตกภาระจำเลยนำสืบ 2 ประเด็น ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีภาระพิสูจน์มากกว่า ทั้งประเด็นที่เป็นภาระจำเลยพิสูจน์ถึงจะให้โจทก์นำสืบก่อนก็ไม่เสียเปรียบ จึงให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็น ศาลฎีกาได้พิจารณาพยานหลักฐานในประเด็นที่โจทก์โต้แย้งดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน แม้โจทก์นำสืบก่อน จำเลยก็ถามค้านให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายและนำสืบถึงข้อความเหล่านั้นโดยบริบูรณ์แล้ว โจทก์หาเสียเปรียบไม่ ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้โจทก์นำสืบก่อนทุกประเด็นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share