คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8616/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือ ให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์ หากไม่อาจโอนขายบ้านและที่ดินได้ให้คืนเงิน 950,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,950,000 บาท ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้นการบังคับคดีจึงต้องอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักแห่งการบังคับ เมื่อจำเลยได้ติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะซื้อจะขายและพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินด้วยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ เท่ากับจำเลยพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้ว โจทก์จะกล่าวอ้างและเรียกร้องให้จำเลยแก้ไขความชำรุดบกพร่องและความไม่เรียบร้อยของบ้านพิพาทก่อนโดยจำเลยไม่ยอมรับและตกลงด้วยนั้นไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย โจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์ หากไม่อาจโอนขายบ้านและที่ดินได้ให้คืนเงิน 950,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,950,000 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยจะส่งมอบบ้านพร้อมที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์อย่างไร เป็นหน้าที่ของผู้ใดที่จะซ่อมแซมบ้านก่อนส่งมอบให้โจทก์และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายพร้อมค่าขาดประโยชน์จากจำเลยตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด ขอให้ศาลฎีกาอธิบายคำพิพากษาเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดี

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินพิพาท ให้โจทก์รับเงินที่ชำระไว้แก่จำเลยคืนไปพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะวินิจฉัยปัญหาตามคำร้องของโจทก์และจำเลย หากคู่ความฝ่ายใดไม่พอใจคำสั่งศาลชั้นต้นก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์และจำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลฎีกา ให้ยกคำร้อง

หลังจากฟังคำสั่งศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยจะส่งมอบบ้านพร้อมที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์อย่างไร เป็นหน้าที่ของผู้ใดที่จะซ่อมแซมบ้านก่อนส่งมอบให้โจทก์ และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายพร้อมค่าขาดประโยชน์จากจำเลยตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใดขอให้ศาลชั้นต้นอธิบายคำพิพากษาเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดี

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การบังคับคดีจะต้องเป็นไปตามคำพิพากษากล่าวคือ ให้จำเลยไปทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขาย และรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบ้านพิพาทมีสภาพชำรุดบกพร่องไม่เรียบร้อย ก็มิใช่ข้ออ้างที่โจทก์จะปฏิเสธการบังคับคดีตามคำพิพากษา หากโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และหากจำเลยไม่อาจโอนขายบ้านพร้อมที่ดินก็ให้จำเลยคืนเงิน 950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จึงให้คู่ความดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามลำดับที่ระบุไว้ต่อไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินแปลงที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือ ให้จำเลยติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะขายและชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะโอนขายบ้านพร้อมที่ดินแก่โจทก์หากไม่อาจโอนขายบ้านและที่ดินได้ให้คืนเงิน 950,000 บาท และชำระค่าเสียหาย 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงิน 1,950,000 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดังนั้น การบังคับคดีจึงต้องอาศัยคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักแห่งการบังคับเมื่อจำเลยได้ติดตั้งโทรศัพท์ประจำบ้านที่ตกลงจะซื้อจะขายและพร้อมจะทำสัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินด้วยการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เท่ากับจำเลยพร้อมจะปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกแล้วโจทก์จะกล่าวอ้างและเรียกร้องให้จำเลยแก้ไขความชำรุดบกพร่องและความไม่เรียบร้อยของบ้านพิพาทก่อนโดยจำเลยไม่ยอมรับและตกลงด้วยนั้นไม่ได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยโจทก์เสียหายอย่างไรก็ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share