แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าทรัพย์ ผู้เช่าผิดสัญญา ผู้ให้เช่าเรียกค่าเช่าหรือเบี้ยปรับอย่างหนึ่งอย่างใดได้จะเรียกเอาทั้ง 2 อย่างไม่ได้
การพิเคราะห์ ม.381 นั้น ต้องพิเคราะห์รวมไปกับ ม.380 ด้วยวิธีพิจารณาแพ่ง การที่ศาลจะบังคับให้ฝ่ายที่แพ้ใช้ค่าธรรมเนียมแทนหรือไม่ อยู่ในดุลพินิจของศาล (เทียบฎีกาที่ 185/118 พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง คดีควรฟังว่าเพิ่มการกู้หนี้หรือการเช่าทรัพย์นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง การคัดค้านดุลยพินิจของศาลไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยทำสัญญาให้โจทก์ไว้ ๒ ฉะบับ ฉะบับหนึ่งว่าจำเลยได้ขายพิมพ์ดีดแก่โจทก์ ๑ เครื่อง ได้รับเงินไปเสร็จแล้ว อีกฉะบับหนึ่งว่าจำเลยได้เช่าพิมพ์ดีดไปจากโจทก์ ๑ เครื่องค่าเช่าเดือนละ ๑๕ บาท จำเลยจะส่งค่าเช่าในวันที่ ๑๐ ของเดือนหรือก่อนเสมอถ้าไม่ส่งจำเลยต้องส่งพิมพ์คืน มิฉะนั้นยอมให้ปรับวันละ ๕๐ สตางค์ บัดนี้จำเลยผิดสัญญา โจทก์ฟ้องเรียกพิมพ์คืนและให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างกับค่าปรับ และเรียกเงินค่าซื้อของเชื่อด้วย
ศาลเดิมเห็นว่าสัญญาฉะบับหลังจำเลยทำด้วยความสำคัญผิดในสาระสำคัญ สัญญาเปนโมฆะ แต่จำเลยได้ใช้พิมพ์ของโจทก์ ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเช่าให้ได้ตามควร จึงตัดสินให้จำเลยส่งพิมพ์หรือใช้ราคา ๑๕๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยค่าเช่าเดือนละ ๕ บาท กับให้จำเลยใช้เงินค่าซื้อของเชื่อ ๓๔ บาทแก่โจทก์ด้วย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาฉะบับหลังนั้น จำเลยทำโดยไม่ได้สำคัญผิด แต่ค่าปรับวันละ ๕๐ สตางค์ โจทก์จะเรียกเอาด้วยไม่ได้ จึงตัดสินแก้ให้จำเลยใช้ค่าเช่าเครื่องพิมพ์เดือนละ ๑๕ บาทแก่โจทก์ นอกจากนี้ยืนตาม (ไม่พูดถึงค่าธรรมเนียม)
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยที่ว่าคดีควรฟังว่าเปนการกู้เงิน ไม่ใช่เปนการเช่าเครื่องพิมพ์นั้นเปนการเถียงข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาไม่ได้ ส่วนฎีกาโจทก์มีใจความ ๒ ข้อ คือ ( ๑ ) คำตัดสินศาลอุทธรณ์ไม่ได้บังคับให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียม และ ( ๒ ) โจทก์ควรจะได้ค่าปรับวันละ ๕๐ สตางค์ด้วย ตามประมวลแพ่ง ม.๓๘๑ นั้น เห็นว่าฎีกาในข้อ ๑ อยู่ในดุลยพินิจของศาลตาม พรบวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๑๔๑ และฎีกาที่๑๘๕/๑๑๘ การคัดค้านดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ไม่เปนปัญหากฎหมาย โจทก์มีสิทธิเลือกเอาค่าเช่าหรือค่าปรับข้อใดข้อหนึ่งได้ แต่จะเรียกเอาทั้ง ๒ อย่างไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าเช่าแก่โจทก์ ๆ ก็มิได้ฎีกาคัดค้านขึ้นมาดังนี้ จึงตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์