คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติในมาตรา 108 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้นหมายความว่าเมื่อศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าใดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าศาลสั่งไปโดยหลงผิดเข้าใจว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้จริงตามจำนวนเงินที่สั่งอนุญาต แต่ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้หรือลูกหนี้เป็นหนี้น้อยกว่านั้น เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่ง อนุญาตไปแล้วได้
ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 130(6) โดยถือว่าหนี้ดังกล่าวถึงกำหนดชำระภายในหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นหนี้บุริมสิทธิ ต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ทำนองเดียวกันนี้ถือว่าถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว และเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8) ซึ่งมิใช่หนี้บุริมสิทธินั้น คำสั่งของศาลที่สั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(6) ไปแล้วนั้น ไม่ใช่สั่งไปโดยผิดหลงตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 108

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลูกหนี้ค้างชำระรวมเป็นเงิน ๑,๘๘๐,๘๖๔.๖๑ บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเชื่อว่าลูกหนี้ที่ ๑ ค้างชำระภาษีรวมเป็นเงิน ๑,๘๘๐,๘๖๔.๖๑ บาทจริง แต่เป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์อันเป็นหนี้บุริมสิทธิเพียง ๒ รายการ รวม ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาท ลูกหนี้ที่ ๒ และ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของลูกหนี้ที่ ๑ ต้องร่วมรับผิดด้วย จึงเสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นว่าควรให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสาม ๑,๘๘๐,๘๖๔.๖๑ บาท แต่ให้ได้รับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๖) เพียง ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาท ส่วนอีก ๑,๕๘๓,๑๒๓.๕๙ บาทให้ได้รับชำระหนี้ตามมาตรา ๑๓๐ (๘) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๕ อนุญาตให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ต่อมาวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๑๕ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องว่าได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๑-๑๔๐๒/๒๕๑๕ ว่าภาษีที่จะต้องชำระนั้นถึงกำหนดชำระตั้งแต่ผู้เสียภาษีมีหน้าที่ต้องชำระ มิใช่ถึงกำหนดเมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ผู้เสียภาษีชำระค่าภาษีดังนั้นหนี้ค่าภาษี ๒ รายการรวม ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาทจึงไม่ใช่ค่าภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระภายในหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากร ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๖) นั้น ยังไม่เป็นไปตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๘ จึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นว่า อนุญาตให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากร ๑,๘๘๐,๘๖๔.๖๑ บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๘)
ผู้ขอรับชำระหนี้คัดค้านว่าไม่ใช่เป็นกรณีที่ศาลสั่งไปโดยผิดหลง และคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นเป็นอันยุติเพราะไม่มีคู่ความอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมได้
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ที่ศาลสั่งไปแล้วเป็นการหลงผิด อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๘ จึงให้ผู้ขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสามเป็นเงิน ๑,๘๘๐,๘๖๔.๖๑ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๘)
ผู้ขอรับชำระหนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๘ ที่บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลได้สั่งอนุญาตแล้วนั้น ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลง เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้” นั้น หมายความว่าเมื่อศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้เป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลงเพราะเข้าใจว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จริง ตามจำนวนเงินที่สั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ แต่ความจริงลูกหนี้มิได้เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ หรือลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้แล้วแต่กรณี แต่กรณีนี้มิใช่ลูกหนี้มิได้เป็นเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ หรือลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลูกหนี้เป็นหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้จริงตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับ ชำระหนี้ เพียงแต่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๖) โดยถือว่าหนี้จำนวนดังกล่าวถึงกำหนดชำระภายในหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น ต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๑-๑๔๐๒/๒๕๑๕ วินิจฉัยว่าภาษีถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ผู้เสียภาษีเงินได้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๘ คือถึงกำหนดชำระเงินใน ๑๕๐ วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งหากถือตามคำวินิจฉัยดังกล่าว หนี้ค่าภาษีอากรจำนวน ๒๙๗,๗๔๑.๐๒ บาทถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และผู้ขอรับชำระหนี้จะได้รับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวตามมาตรา ๑๓๐ (๘) เช่นเดียวกับหนี้จำนวน ๑,๕๘๓,๑๒๓.๕๙ บาทเท่านั้น เห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ใช่ศาลชั้นต้นได้สั่งไปโดยผิดหลงตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๘
พิพากษายืน

Share