คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8571/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมค่าเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องละเมิด จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ในชั้นพิจารณาคดีจำเลยมีภาระการพิสูจน์และศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นพยาน ซึ่งจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยไม่ได้ซื้อที่ดินจำนวน 15 ไร่ ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไว้เดิม แต่ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ที่อยู่ติดกัน เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ เช่นเดียวกันและได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่นี้ไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงนำสืบพยานบุคคลว่ามีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวต่อกันจริง แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอาแปลงถัดไป กรณีเป็นการที่โจทก์สืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่าหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระงับไปแล้วเพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าว และตกลงซื้อขายที่ดินแปลงอื่นต่อกันแทน เอกสารดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้อีกต่อไป หาใช่กรณีที่โจทก์สืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยชำระเงิน 6,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าเช่าเดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินของโจทก์แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางสาวเนี้ยว ตรงจริง บุตรีของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังพยานบุคคลของโจทก์เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ข) ซึ่งห้ามสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องละเมิด จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกัน และโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ในชั้นพิจารณาคดี จำเลยมีภาระการพิสูจน์และศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นพยาน ซึ่งจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยไม่ได้ซื้อที่ดินจำนวน 15 ไร่ ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไว้เดิม แต่ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกันเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ เช่นเดียวกัน และมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่นี้ไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์จึงนำสืบพยานบุคคลว่า มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวต่อกันจริง แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอาแปลงถัดไป กรณีเป็นการที่โจทก์สืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่าหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระงับไปแล้ว เพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าว และตกลงซื้อขายที่ดินแปลงอื่นต่อกันแทนเอกสารดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้อีกต่อไป หาใช่กรณีที่โจทก์สืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามที่จำเลยฎีกาไม่ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share