คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 5,000 บาท แต่ทำสัญญากู้กันไว้ 8,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วรวม 5,300 บาท ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 9,150 บาท โจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกศาลโดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน 5,300 บาท ออกจากทุนทรัพย์ในคดีและจำเลยยอมรับเงินเพียง 4,200 บาทแต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ยอมชำระเงินให้จำเลยเต็มตามฟ้องภายใน 1 เดือน ครั้นครบกำหนดตามยอมจำเลยไม่ยอมรับชำระเงิน 4,200 บาท แต่กลับขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทำกันไว้ในศาลดังกล่าวจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 5,300 บาท ที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยไปดังกล่าวดังนี้ เมื่อตามฟ้องปรากฏชัดอยู่แล้วว่า ที่จำเลยได้รับเงิน 5,300 บาท จากโจทก์ไว้ เพราะโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย (ชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวก็โดยอาศัยที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยอยู่) จึงเป็นกรณีที่มีมูลอันจำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมายไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์จึงเรียกเงินที่ชำระไปดังกล่าวแล้วคืนไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 5,000 บาท แต่ทำสัญญากู้กันไว้8,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วรวม 5,300 บาทต่อมาจำเลยกลับมาฟ้องโจทก์เรียกเงินต้นและดอกเบี้ยอีกรวม 9,150 บาท โจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกศาล โดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน 5,300บาทออกจากทุนทรัพย์ในคดีและจำเลยยอมรับเงินเพียง 4,200 บาท แล้วโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่าโจทก์ยอมชำระเต็มตามฟ้อง ครั้นครบกำหนดตามยอมจำเลยไม่ยอมรับชำระเงิน 4,200 บาทแต่กลับขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทำไว้ในศาลดังกล่าว จึงขอศาลบังคับจำเลยคืนเงินฐานลาภมิควรได้จำนวน 5,300 บาทแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจยอมชำระหนี้จำเลยเป็นเงิน 9,150 บาท แล้วจะมาอ้างว่าได้ชำระเงินให้จำเลยเป็นเงิน 5,300 บาทหาได้ไม่ โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยเพียง 4,200 บาท ส่วนที่เหลือตามยอมโจทก์ยังไม่ชำระ จำเลยยังไม่ได้ขอให้ศาลบังคับคดี สิทธิฟ้องเรียกร้องเงินคืนฐานลาภมิควรได้ของโจทก์หากมีจริงก็ยังไม่มีสิทธิหรืออำนาจฟ้องในขณะนี้จนกว่าจำเลยจะได้บังคับให้โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเสียก่อน ขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการแจ้งชัดว่าโจทก์ได้มอบเงินจำนวน 5,300 บาทแก่จำเลยเป็นการชำระหนี้ที่โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยกรณีที่จะต้องคืนเงินฐานลาภมิควรได้นั้น ผู้ได้ทรัพย์จะต้องได้รับทรัพย์นั้นมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายว่า เงินจำนวนตามฟ้องเป็นลาภมิควรได้ชอบที่จำเลยจะคืนโจทก์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ชำระเงินจำนวน 5,300 บาท แก่จำเลยเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยโดยมีมูลหนี้ต่อกันตามกฎหมาย มิได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่อย่างใด เงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยพอดีแก่จำนวนหนี้

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าตามฟ้องโจทก์ โจทก์อ้างว่าได้ชำระเงินจำนวน 5,300 บาท เพื่อเป็นการชำระหนี้แก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้ออ้างของโจทก์ก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า ที่จำเลยได้รับชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวก็โดยอาศัยที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยอยู่ จึงเป็นกรณีที่มีมูลอันจำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406

พิพากษายืน

Share