แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ 3 คนกับ ม. ได้รับมฤดกกึ่งหนึ่งของที่พิพาท อีกกึ่งหนึ่งเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ 3 คนฟ้องขอแบ่ง โดย ม. มิได้เข้ามาเป็นโจทก์ หรือร้องขอรับส่วนของตนในคดี ศาลก็พิพากษาแบ่งให้โจทก์ตามส่วนที่โจทก์ควรจะได้ คือ 3 ใน 8 ส่วน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายอินสามีของนางป่วนโจทก์ กับจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในที่ดินร่วมกัน นายอินวายชนม์ โจทก์ทั้ง ๓ กับนายเม้มเป็นผู้รับมฤดก โดยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ ปกครองที่ร่วมกับจำเลยตลอดมาจนบัดนี้ บัดนี้จำเลยได้เอาโฉนดไปให้เจ้าหนี้ยึดถือเป็นประกัน ซึ่งเป็นการขัดขืนคำห้าม โจทก์จึงต้องฟ้องขอแบ่ง ขอให้ศาลแบ่งแยกโฉนดรายนี้ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็ให้ประมูล หรือขายทอดตลาดแบ่งเงินกันคนละครึ่ง จำเลยต่อสู้ว่า โฉนดมีชื่อโจทก์จริง แต่จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ฝ่ายเดียว โดยเปิดเผยเพื่อตนเองตลอดมา เป็นเวลาเกินกว่า ๒๐ ปี จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองโดยปรปักษ์แล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์-จำเลยปกครองร่วมกัน พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งจากจำเลยเพียง ๓ คนเท่านั้น นายเม้มอีกคนหนึ่งหาเกี่ยวข้องเรียกร้องสิทธิประการใดขึ้นมาไม่ พิพากษาแก้ ให้แบ่งที่ให้โจทก์ ๓ คน รวมกัน ๓ ใน ๘ ส่วน
โจทก์, จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่แบ่งส่วนให้นายเม้มชอบแล้ว เพราะแม้นายเม้มจะมีชื่อถือกรรมสิทธิในโฉนดก็ดี แต่ก็มิได้เข้ามาเป็นโจทก์ หรือขอร้องรับส่วนของตนเข้ามาในคดี
พิพากษายืน.