แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมกรณีมาเบิกความให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายคงมีแต่ ก. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยไปพบพยานที่บ้านแจ้งความประสงค์จะเข้ามอบตัว พยานจึงนำตัวจำเลยไปมอบให้จ่าสิบตำรวจตรี ส.ซึ่งจ่าสิบตำรวจตรีส. เบิกความว่าเมื่อ ก. นำตัวจำเลยไปมอบให้นั้น จำเลยรับว่าเป็นผู้ใช้ปืนยิงผู้ตายจริง เพราะสำนึกผิดและเกรงว่าญาติผู้ตายจะทำร้ายจึงขอเข้ามอบตัว เจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การรับสารภาพ นำชี้ที่เกิดเหตุและให้ถ่ายรูปประกอบคำรับสารภาพดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวคงมีแต่คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวน คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตายกับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางที่ใช้ยิงผู้ตายมาเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตาย อันจะทำให้ลักษณะบาดแผลของศพผู้ตายสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย พยานที่โจทก์นำสืบมาจึงขาดวัตถุพยานที่ใช้ในการกระทำความผิดคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาที่จะนำมาฟังลงโทษจำเลยได้นั้น โจทก์จะต้องมีพยานประกอบมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงทั้งพยานประกอบต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนหรือพยานที่ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนแม้โจทก์จะมี ก. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งนำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนมาเบิกความ แต่คำเบิกความของพยานดังกล่าวไม่สอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนได้เตรียมอาวุธปืน 1 กระบอกไปซุ่มดักยิงนายอุทัย ชนะพันธ์ ผู้ตาย 1 นัดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตำรวจยึดทับหัวกระสุนปืนลูกซอง1 อันที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดจากที่เกิดเหตุเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และ 289 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยว่าใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52คงจำคุกตลอดชีวิต และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายอุทัย ชนะพันธ์ ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตาย ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมกรณีมาเบิกความให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย คงมีแต่นายไกรษร สามารถ ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเบิกความว่าเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา จำเลยไปพบพยานที่บ้านแจ้งความประสงค์จะเข้ามอบตัว พยานจึงนำตัวจำเลยไปมอบให้จ่าสิบตำรวจตรีสุธรรม ทองประจง สถานีตำรวจภูธรตำบลคลองขนาน ซึ่งจ่าสิบตำรวจตรีสุธรรมเบิกความว่าเมื่อนายไกรษรนำตัวจำเลยไปมอบให้นั้นพยานได้พูดคุยกับจำเลยจำเลยรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง เพราะสำนึกผิดและเกรงว่าญาติผู้ตายจะทำร้ายจึงขอเข้ามอบตัว ตามบันทึกการมอบตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2 นอกจากนี้พันตำรวจโทพิชิตพันธุ์วิชาติกุล พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุได้รับแจ้งว่าผู้ตายถูกยิงที่สวนปาล์มของนายสุนทร เจียวก๊กพยานกับพวกจึงไปยังที่เกิดเหตุไม่พบผู้ตายเพราะมีคนนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลแล้ว สอบถามชาวบ้านไม่มีใครทราบว่าคนร้ายเป็นใครพยานตรวจสถานที่เกิดเหตุพบทับหัวกระสุนปืนลูกซอง 1 อันจึงยึดเป็นของกลาง พยานได้ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่สังเขป ถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุ ทำบัญชีของกลางไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.4 ภาพถ่ายหมาย จ.5 (รวม 3 ภาพ)เอกสารหมาย จ.6 หลังเกิดเหตุ 2 วัน นายไกรษร ผู้ใหญ่บ้านได้นำตัวจำเลยไปมอบให้พยาน ได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การรับสารภาพนำชี้ที่เกิดเหตุและให้ถ่ายรูปประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.7 จ.8 พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวคงมีแต่คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนตามบันทึกการมอบตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.2 คำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตายกับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.8 โดยมีพันตำรวจโทพิชิต พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้นทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางที่ใช้ยิงผู้ตายมาเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตาย อันจะทำให้ลักษณะบาดแผลของศพผู้ตายสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยพยานที่โจทก์นำสืบมาจึงขาดวัตถุพยานที่ใช้ในการกระทำความผิดคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาที่จะนำมาฟังลงโทษจำเลยได้นั้น โจทก์จะต้องมีพยานประกอบมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริง ทั้งพยานประกอบต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจ ผู้สอบสวนหรือพยานที่ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน แม้โจทก์จะมีนายไกรษรผู้ใหญ่บ้านซึ่งนำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนมาเบิกความ แต่คำเบิกความของพยานดังกล่าวไม่สอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน