แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกัน เพื่อให้จำเลยชำระเงินตามส่วนเฉลี่ยที่แต่ละคนจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ในฐานที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันได้ออกชำระแทนไปให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้น สำหรับหนี้เงินที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ที่จะรับผิดต่อไปนับจากวันที่ โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปนั้น เมื่อไม่มีการตกลงกันเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย จึงไม่มีเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมายที่โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว แม้โจทก์จะต้องเสียค่าดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอัตราร้อยละสิบสี่ต่อปีก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกได้เข้าหุ้นส่วนกันเพื่อตั้งห้างหุ้นส่วน จำกัดโคราชบันเทิง ผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนนำเงินสดและทรัพย์สินมาลงหุ้น แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนได้มีมติให้เลิกกิจการเพราะขาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายอมรกับพวกให้ชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาว่า หนี้สินทั้งหมดที่ธนาคารกรุงไทยฟ้องเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนโคราชบันเทิง ให้หุ้นส่วนทั้ง ๑๑ คนร่วมกันชดใช้หนี้ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ต่อมาโจทก์ในฐานะจำเลยลูกหนี้ร่วมได้จัดการชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อเรียกให้หุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชดใช้เงินแก่โจทก์ตามส่วนเฉลี่ยที่หุ้นส่วนแต่ละคนลงหุ้น พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒, ที่ ๓, ที่ ๔, ที่ ๖ และที่ ๗ ศาลอนุญาต คดีคงเหลือที่จะต้องพิจารณาต่อมาเฉพาะจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๕
จำเลยที่ ๑ กับที่ ๕ ขาดนัดยื่นคำให้การ และเฉพาะจำเลยที่ ๕ ขาดนัดพิจารณาด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์แต่ในเรื่องดอกเบี้ยให้จำเลยใช้ให้โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ควรจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีของโจทก์เป็นการฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๑และจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกัน เพื่อให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามส่วนเฉลี่ยที่แต่ละคนจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ในฐานที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันได้ออกชำระแทนไปให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้น สำหรับหนี้เงินที่จำเลยที่ ๑และที่ ๕ จะต้องรับผิดต่อไปนับจากวันที่โจทก์ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการตกลงกันเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจึงไม่มีเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมายที่โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔
พิพากษายืน