คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8516/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้แม้คำขอท้ายฟ้องจะอ้างมาตรา 376 แห่ง ป.อ. ไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์บรรยายฟ้องมาเพียงว่าจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยมิได้กล่าวมาในฟ้องว่าการยิงปืนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานดังกล่าวมาด้วย ดังนั้น ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรานี้ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 91, 288, 289, 339, 340, 340 ตรี, 357, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายจักรชัย บิดานายจักรพันธุ์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฐานร่วมกันชิงทรัพย์ ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ และฐานร่วมกันรับของโจร
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 340 วรรคแรก, 340 ตรี, 371, 376 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคสอง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 340 วรรคแรก, 340 ตรี, 371 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 1 ปี ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 400 บาท ฐานรับของโจร จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 4 ปี รวมแล้วคงลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 3 และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 400 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและข้อนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละตลอดชีวิต และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200 บาท ส่วนจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 340 วรรคท้าย, 371 (ที่ถูกประกอบมาตรา 83), 376 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 340 วรรคท้าย, 371 (ที่ถูกประกอบมาตรา 83) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบท (ที่ถูกเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท) ซึ่งมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 3 ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูกประกอบมาตรา 52 (2)) แล้ว ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต (ที่ถูกฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200 บาท รวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละตลอดชีวิต และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์รถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ฮ – 6130 กรุงเทพมหานคร ของนางศรีสมบัติ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายจักรพันธุ์ ผู้ตายไป ส่วนจำเลยที่ 4 ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรรถยนต์ดังกล่าวไว้ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งมิได้ฎีกาเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีสำหรับจำเลยที่ 3 ในส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและฐานร่วมกันพาอาวุธปืน จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่อย่างใด ความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 เพียงว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันปล้นทรัพย์รถยนต์ของผู้ตายไปเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายโอภาส เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2541 เวลา 17.30 นาฬิกา ขณะที่ผู้ตายพักอาศัยอยู่ที่บ้านพยาน จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีก 2 คนไปทวงเงินจากผู้ตายซึ่งเป็นหนี้เพื่อนจำเลยที่ 2 ที่บ้านพยาน แล้วจำเลยที่ 1 ชวนพยานไปงานสมรสญาติจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดสระบุรี จากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับออกไป ต่อมาเวลา 19.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับมาชวนผู้ตายไปงานสมรสดังกล่าว ผู้ตายจึงไปชวนจำเลยที่ 3 ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 3 นั่งรับประทานอาหารอยู่กับลุงพยานที่ร้านอีสานคลาสสิคฝั่งตรงข้ามกับบ้านพยานให้เดินทางไปด้วย จนกระทั่งเวลา 21.30 นาฬิกา ผู้ตายขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 7 ฮ – 6130 กรุงเทพมหานคร ไปจังหวัดสระบุรี มีจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับพยานนั่งโดยสารไปด้วยโดยไปพักที่บ้านนายคารวิน ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นอาจำเลยที่ 1 วันรุ่งขึ้นบิดาจำเลยที่ 1 มาหาจำเลยที่ 1 และพูดต่อว่าจำเลยที่ 1 ที่ไม่ไปพักบ้านบิดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 กับพวกจึงไปพักที่บ้านบิดาจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ชวนพยานกับพวกไปเที่ยวหาเงินที่วัดพระพุทธบาท เมื่อไปถึงจำเลยที่ 1 ลงจากรถไปพูดคุยกับเพื่อนจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจึงพากันขับรถไปขอเงินแม่ชีที่เชิงเขาที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าไม่พบแม่ชี จำเลยที่ 1 กับพวกจึงพากันมาบ้านบิดาจำเลยที่ 1 ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ชวนผู้ตายขับรถออกไปดักยิงรถจักรยานยนต์เพื่อนำเงินมาเป็นค่าน้ำมันรถ พยานคัดค้านจึงถูกจำเลยที่ 2 ด่าว่า “มึงอยู่เงียบ ๆ อย่าพูดมากถ้าไม่กล้า” ขณะออกจากบ้านบิดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนยาว 1 กระบอก หลังจากนั้นผู้ตาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับพยานเดินทางออกจากบ้านบิดาจำเลยที่ 1 ด้วยรถยนต์ของผู้ตายเป็นยานพาหนะ โดยผู้ตายเป็นผู้ขับตามเส้นทางที่จำเลยที่ 1 บอกเพื่อขึ้นไปที่เชิงเขาที่เกิดเหตุ พบบ้านร้าง 1 หลัง ผู้ตายบอกให้พยานเฝ้ารถยนต์ของผู้ตายไว้ ส่วนผู้ตายและจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เดินออกไป หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที พยานได้ยินเสียงดังปังแต่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร ต่อมาประมาณ 30 นาที จำเลยที่ 1 เดินมาส่งกุญแจรถยนต์ของผู้ตายให้พยานขับรถยนต์ของผู้ตายเพื่อพาจำเลยที่ 1 ไปบ้านนายคารวิน ระหว่างทางพยานสอบถามว่าเสียงดังเป็นเสียงอะไร จำเลยที่ 1 บอกว่าไม่ทราบ เมื่อถึงบ้านนายคารวิน จำเลยที่ 1 ไปพูดคุยกับนายคารวิน ส่วนพยานรออยู่ที่รถยนต์ของผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 และนายคารวินเดินอกมาบอกพยานว่าจะไปซื้อน้ำมันเพื่อมาใส่รถยนต์ของผู้ตาย จากนั้นจำเลยที่ 1 และนายคารวินขับรถจักรยานยนต์ออกไป ระหว่างนั้นพยานนอนหลับจนกระทั่งตื่นจึงเห็นจำเลยที่ 1 และนายคารวินกลับมา จำเลยที่ 1 ให้พยานขับรถยนต์ของผู้ตายไปที่บ้านร้าง เมื่อถึงบ้านร้าง จำเลยที่ 1 ให้พยานลงจากรถพร้อมบอกว่าจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ของผู้ตายไปรับผู้ตายกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วจำเลยที่ 1 ก็ขับรถยนต์ของผู้ตายขึ้นไปที่เชิงเขาที่เกิดเหตุ ขณะที่พยานรออยู่ที่บ้านร้าง จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของผู้ตายผ่านมารับ พยานเห็นจำเลยที่ 3 นั่งหน้าคู่กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ใช้มือเช็ดตาทำท่าจะร้องไห้ พยานถามจำเลยที่ 2 ว่าผู้ตายไปไหน จำเลยที่ 2 บอกว่าผู้ตายเดินทางล่วงหน้าไปกับนายคารวินแล้ว เมื่อถึงบ้านนายคารวินจำเลยที่ 3 ร้องไห้และบอกพยานว่าผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ฆ่าตายแล้ว ระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายคารวินปรึกษากันโดยนายคารวินพูดว่าถ้าจะฝังต้องขุดลึก แล้วแนะนำให้ไปทิ้งน้ำที่เขื่อน หลังจากนั้นขณะที่พยานนั่งคุยกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 พยานถามจำเลยที่ 1 ว่า ฆ่าผู้ตายเพราะเหตุใด จำเลยที่ 1 บอกว่าปืนลั่น ถ้าหากพาไปโรงพยาบาลจะต้องติดคุกกันหมด แล้วจำเลยที่ 1 ชวนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปที่เขื่อน ส่วนพยานรออยู่ที่บ้านนายคารวิน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกไปได้ 1 ชั่วโมงเศษ ก็พากันกลับมาที่บ้านนายคารวิน วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของผู้ตายออกไปเพื่อขายตามเส้นทางที่จำเลยที่ 1 บอก โดยมีจำเลยที่ 3 และพยานนั่งไปด้วย จนกระทั่งไปพบจำเลยที่ 4 ซึ่งรับซื้อรถยนต์ของผู้ตายไว้ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย ข้อเท็จจริงคงได้ความจากคำเบิกความของนายโอภาสรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีก 2 คน มาทวงเงินจากผู้ตาย เมื่อผู้ตายไม่มีเงินให้ จำเลยที่ 1 จึงออกอุบายชวนผู้ตายไปจังหวัดสระบุรีอ้างว่าไปงานสมรสญาติจำเลยที่ 1 แล้วหลอกว่าจะพาผู้ตายไปปล้นเอาเงินจากผู้ขับรถจักรยานยนต์เพราะปรากฏว่าไม่ได้ไปงานสมรสและไม่มีการปล้นเอาเงินจากผู้ขับรถจักรยานยนต์แต่อย่างใด เหตุที่จำเลยที่ 3 ไปจังหวัดสระบุรีด้วยก็เพราะผู้ตายชวนไป หาใช่จำเลยที่ 3 ร่วมเป็นพวกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่มาทวงเงินจากผู้ตายไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 3 ต้องมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฆ่าผู้ตายเพื่อนำรถยนต์ของผู้ตายไปขาย ทั้งในวันเกิดเหตุนายโอภาสเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชวนผู้ตายให้ขับรถยนต์ของผู้ตายออกไปดักยิงผู้ขับรถจักรยานยนต์เพื่อเอาเงินจากผู้ขับเพราะขณะนั้นไม่มีเงินค่าน้ำมันรถ โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลอกผู้ตายว่าจะพาผู้ตายไปปล้นรถจักรยานยนต์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยแต่อย่างใด หลังเกิดเหตุนอกจากจำเลยที่ 3 จะไม่หลบหนีแล้ว เมื่อนายโอภาสพบจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็บอกนายโอภาสทันทีว่าผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ฆ่า และจำเลยที่ 3 ร้องไห้ แล้วจำเลยที่ 3 ยังไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางบุปผา และโจทก์ร่วมทราบตามลำดับทันทีเช่นกันจากนั้นจำเลยที่ 3 ก็พาโจทก์ร่วมและเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยเฉพาะนางบุปผาพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านยืนยันว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 แล้ว นางศรีสมบัติ มารดาผู้ตายไม่พอใจจำเลยที่ 3 โดยอ้างว่าทำไมจำเลยที่ 3 ไม่ช่วยเหลือผู้ตาย จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 3 ด้วย อันเป็นการสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 3 ว่าเดิมเจ้าพนักงานต้องการกันจำเลยที่ 3 ไว้เป็นพยาน ต่อมานางศรีสมบัติเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 สามารถช่วยเหลือผู้ตายได้ แต่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมช่วยเหลือโจทก์ร่วมจึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 3 ดังนี้ คำเบิกความของนางบุปผาดังกล่าวย่อมมีน้ำหนักให้รับฟัง แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การ (ศาลจังหวัดนครปฐม) ซึ่งให้การซัดทอดว่าจำเลยที่ 2 ชวนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้ร่วมกันฆ่าผู้ตายเพื่อนำรถยนต์ของผู้ตายไปขายจำเลยที่ 3 ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้ นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมคงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 ตามบันทึกคำให้การ (ศาลจังหวัดนครปฐม) ซึ่งระบุว่าจำเลยที่ 3 ช่วยจับแขนผู้ตายนั้น จำเลยที่ 3 เบิกความปฏิเสธในชั้นพิจารณาว่าจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวโดยไม่ทราบข้อความจึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยที่ 3 ได้เช่นกัน ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ปล้นทรัพย์และฆ่าผู้ตายตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มาด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณายังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
นอกจากนี้ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 มาด้วยนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้คำขอท้ายฟ้องจะอ้างมาตรา 376 ไว้ด้วยก็ตามแต่โจทก์บรรยายฟ้องมาเพียงว่าจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยมิได้กล่าวมาในฟ้องว่าการยิงปืนของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานดังกล่าวมาด้วย ดังนั้น ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรานี้ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดเกี่ยวกับทรัพย์จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กำหนดโทษให้คงเดิม ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 เมื่อรวมโทษจำเลยที่ 1 ทุกกระทงแล้วคงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ข้อหาใช้อาวุธปืนฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันปล้นทรัพย์รถยนต์ของผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share