คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8506/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็ค จึงต้องพิจารณาว่ามูลคดีตามฟ้องเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นศาลใด โจทก์มีอำนาจยื่นฟ้องที่ศาลนั้นได้ เมื่อธนาคารตามเช็คซึ่งปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นการที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ส่วนเช็คจะมีมูลหนี้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตอำนาจศาล เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานของคู่ความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 45,501,260 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 43,724,935 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 43,724,935 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 11 กันยายน 2540) ไม่เกินจำนวน 1,776,325 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าประมาณปี 2535 จำเลยเสนอโครงการปลูกอ้อยเพื่อขอกู้เงินจากโจทก์นำไปลงทุนในการผลิตอ้อย โจทก์อนุมัติให้จำเลยกู้เงินจำนวน 37,000,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากโจทก์แล้ว โดยจำเลยทำสัญญาโอนสิทธิครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน จำเลยต้องชำระเงินคืนโจทก์ปีละ 9,800,000 บาท ซึ่งนำราคาอ้อยที่จำเลยขายแก่โจทก์หักชำระ แต่ปรากฏว่าหลังจากทำสัญญาจำเลยไม่สามารถส่งอ้อยได้ครบจำนวนและไม่ชำระเงินส่วนที่ขาดแก่โจทก์ จำเลยจึงทำสัญญาเงินกู้โดยรับว่าได้กู้เงินจากโจทก์ 5,550,000 บาท และ 37,000,000 บาท แทนโดยมีนางสาวอารีย์รัตน์และนางสาวสุรีพรได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ด้วย แต่จำเลยยังคงส่งอ้อยให้โจทก์ไม่ครบและไม่ชำระเงินกู้ในวันที่ 19 เมษายน 2539 จำเลยจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ รับว่าเป็นหนี้เงินกู้ต่อโจทก์ 47,004,305 บาท และจำเลยออกเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) 2 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว ฉบับแรกลงวันที่ 15 มิถุนายน 2539 สั่งจ่ายเงิน 43,724,935 บาท เช็คฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2539 สั่งจ่ายเงิน 3,279,370 บาท โจทก์ได้รับชำระเงินตามเช็คฉบับที่ 2 แล้ว ส่วนเช็คฉบับแรก ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยขอเลื่อนการชำระเงินและออกเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์อีก 2 ฉบับ สั่งจ่ายเงิน 1,031,870 บาท และ 43,724,935 บาทตามลำดับ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยได้นำเงินมาชำระให้โจทก์เฉพาะเช็คฉบับแรก
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีที่ศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็ค เมื่อธนาคารตามเช็คซึ่งตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลคดีจึงเกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง เพราะเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ จำเลยออกให้โจทก์ไว้เป็นหลักประกันนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็ค จึงต้องพิจารณาว่ามูลคดีตามฟ้องเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นศาลใด โจทก์มีอำนาจยื่นฟ้องที่ศาลนั้นได้ เมื่อธนาคารตามเช็คซึ่งปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ส่วนเช็คจะมีมูลหนี้หรือไม่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตอำนาจศาลเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานของคู่ความ และจะมีการทำสัญญากู้สัญญารับสภาพหนี้และส่งมอบเช็คกันที่ใด ไม่ทำให้มูลคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีข้อตกลงให้ฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดชลบุรีนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนจำเลยต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการที่จำเลยทำสัญญากู้ 2 ฉบับ และหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ กรณีจึงเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามสัญญาเดิมอย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคหนึ่ง โจทก์และจำเลยต้องผูกพันตามสัญญากู้และหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ หนังสือรับสภาพหนี้ และเช็ค และโจทก์ผิดสัญญาการส่งเสริมการปลูกอ้อยมาปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ อีกทั้งการอ้างว่าจำเลยทำสัญญากู้ หนังสือรับสภาพนี้ และออกเช็คให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปแสดงในบัญชีงบดุลของโจทก์ โดยที่จำเลยมิได้มีส่วนได้เสียในบริษัทโจทก์ด้วย จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักรับฟัง ดังนั้น เช็คตามฟ้องจึงมีมูลหนี้ จำเลยอุทธรณ์ว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คประกันเงินกู้เมื่อสัญญากู้ไม่มีการจ่ายเงินและรับเงินกัน สัญญากู้และหนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่มีผลตามกฎหมาย เช็คจึงปราศจากมูลหนี้ด้วย เหตุที่จำเลยทำสัญญากู้ หนังสือรับสภาพหนี้ และออกเช็คตามฟ้องให้แก่โจทก์ เพราะโจทก์ขอร้องอ้างว่าจะนำไปเป็นหลักฐานทางบัญชีของโจทก์ เช็คตามฟ้องจึงปราศจากมูลหนี้ อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงมิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งอีก จึงให้ยกฎีกาของจำเลยในส่วนนี้”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share