แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เดิมมารดาโจทก์กับ ล. ครอบครองที่ดินร่วมกัน ต่อมาได้แยกกันครอบครองเป็นสัดส่วน โดยมารดาโจทก์ครอบครองที่พิพาท ล. ครอบครองส่วนที่เหลือ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่มารดาโจทก์ยังไม่ถึงแก่กรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่ ล. ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทแล้วทำนิติกรรมยกให้จำเลยทั้งสอง โดยทั้ง ล. และจำเลยทั้งสองไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่โดยได้รับมรดกมาจากนางจ้อย ประมวล ผู้เป็นมารดา ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่ 34 ไร่เศษ ซึ่งนางจ้อย ประมวล และนางสาวเหลือง ประมวล เป็นเจ้าของครอบครองร่วมกันมา ต่อมานางจ้อยและนางสาวเหลืองแบ่งแยกการครอบครองกันเป็นสัดส่วน โดยนางจ้อยครอบครองที่พิพาท ส่วนที่เหลือนางสาวเหลืองครอบครอง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2518 นางสาวเหลืองได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งแปลงโดยเอาที่พิพาทรวมเข้าด้วยแล้วสมคบกับจำเลยทั้งสองยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่ามีที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์รวมอยู่ด้วยโจทก์เพิ่งทราบการกระทำดังกล่าวเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2528เพราะจำเลยทั้งสองไปขอเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากน.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. โจทก์จึงไปคัดค้าน ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกเฉพาะส่วนที่พิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทมิใช่ของโจทก์แต่เป็นของจำเลยทั้งสอง โดยเดิมที่พิพาทเป็นของนายเฟื่อง ประมวลบิดาของจำเลยทั้งสองกับนางสาวเหลืองซึ่งได้รับแบ่งมาจากบิดามารดาแล้วครอบครองร่วมกันมา โดยนางจ้อยมารดาโจทก์และโจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อมาปี 2518 นางสาวเหลืองได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งแปลงรวมที่พิพาทด้วยในนามของนางสาวเหลืองแล้วนางสาวเหลืองได้ทำนิติกรรมยกที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสอง หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทเพื่อตนตลอดมาเกิน 1 ปี แล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ต่อมาเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2528 โจทก์และบริการได้เข้าทำนาในที่พิพาทจำเลยทั้งสองห้ามปรามแล้วไม่เชื่อฟัง ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหายขาดประโยชน์จากการทำนาคิดเป็นเงินปีละ 10,000 บาทขอให้พิพากษายกฟ้องและมีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาท กับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายซึ่งขาดประโยชน์ ในปี 2528 เป็นเงิน 10,000 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองและปีต่อ ๆ ไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะไม่เกี่ยวข้องในที่พิพาทปีละ 10,000 บาท โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ให้ขับไล่โจทก์และบริวารและให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยปีละ 4,000 บาท นับแต่ปี พ.ศ. 2528เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์และบริวารจะไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาทโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 46 ตำบลสมอ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะส่วนที่มีอาณาเขตทิศเหนือยาวประมาณ 1 เส้นจดที่ดินนางเล็ก ศรีเลิศ ทิศใต้ยาวประมาณ 1 เส้น จดที่ดินนางสาย พงษ์ธนู ทิศตะวันออกยาวประมาณ 8 เส้น 9 วา จดที่ดินนายแท่น พงษ์สุวรรณ ทิศตะวันตกยาวประมาณ 8 เส้น 9 วา จดที่ดินจำเลยทั้งสอง เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองคำขออื่นให้ยกและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.1 มีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของผู้ครอบครองโดยได้รับการให้มาจากนางสาวเหลือง ปัจจุบันที่พิพาทโจทก์ครอบครองอยู่ คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาท และจำเลยทั้งสองเสียหายเพียงใด โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบโต้เถียงกันโดยต่างอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ แต่อีกฝ่ายบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง ฝ่ายโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าเดิมนางสาวเหลืองและนางจ้อยมารดาโจทก์ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ร่วมกันทั้งแปลงต่อมาได้แยกกันครอบครองเป็นสัดส่วนโดยนางจ้อยครอบครองที่พิพาทที่เหลือนางสาวเหลืองครอบครอง เมื่อนางจ้อยถึงแก่กรรมโจทก์ซึ่งเป็นบุตรได้ครอบครองที่พิพาทต่อมา ในปี 2528 จำเลยที่ 1บุกรุกเข้ามาทำนาในที่พิพาท แต่เมื่อโจทก์ห้ามปรามจำเลยที่ 1จึงไม่เข้ามาทำนาในที่พิพาทอีกต่อไป โดยโจทก์มีพยานหลายปากมาเบิกความสนับสนุนความข้อนี้ ได้ความสอดคล้องต้องกัน ส่วนฝ่ายจำเลยได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของจำเลยทั้งสอง โดยนางสาวเหลืองทำนิติกรรมยกให้จำเลยทั้งสองแล้วครอบครองร่วมกันมา ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2528โจทก์บุกรุกเข้ามาทำนาในที่พิพาท จำเลยที่ 1 ห้ามปรามแล้วโจทก์ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่พยานจำเลยคือ นางแล ประมวล และนายประคอง สายสินธุ์ ต่างเบิกความได้ความสอดคล้องต้องกันว่าโจทก์ได้ทำนาในที่พิพาทตั้งแต่นางจ้อยผู้เป็นมารดายังไม่ถึงแก่กรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวแล้วข้างต้น ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของจำเลย กรณีฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทอยู่แล้วโจทก์บุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครองดังที่จำเลยที่ 1 นำสืบ แต่ฟังได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมาตั้งแต่ก่อนนางจ้อยผู้เป็นมารดายังไม่ถึงแก่กรรมตลอดมา ดังที่โจทก์นำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้ การที่นางสาวเหลืองขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทแล้วต่อมาทำนิติกรรมยกที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยที่ทั้งนางสาวเหลืองและจำเลยทั้งสองไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเลยเช่นนี้ ถือไม่ได้ว่า เป็นการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคแรก หากแต่โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลงโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทมีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้อง”
พิพากษายืน