แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามต่างถือปืนสั้นคนละกระบอกไปร่วมกันปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้ตายโดยจี้บังคับผู้ตายให้เข้าไปในห้องนอน และบังคับให้นอนคว่ำหน้าตรงทางเข้าประตูห้องนอนจำเลยที่ 2 เหยียบหลังผู้ตายไว้ จำเลยที่ 1 ถือปืนยืนคุมอยู่ตรงศีรษะผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 3เข้าไปในห้องนอนค้นหาทรัพย์ ครั้นค้นได้ทรัพย์แล้วก็เดินออกจากห้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เดินตามไป แต่พอคล้อยห่างผู้ตายได้เพียง 2 ศอกผู้ตายก็ผงกศีรษะขึ้น จำเลยที่ 1 จึงยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกศีรษะผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยทั้งสามก็พากันหลบหนีไป ดังนี้เห็นได้ชัดว่า เพราะผู้ตายผงกศีรษะหรือเงยหน้าขึ้นคงเพื่อดูหน้าคนร้ายอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้น จำเลยที่ 1 จึงยิงผู้ตายจำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ร่วมกระทำในตอนนี้ด้วย ข้อเท็จจริงหาพอที่จะฟังว่ามีเจตนาร่วมกันที่จะฆ่าเจ้าทรัพย์มาแต่แรกไม่จึงควรปรับบทฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย ไม่ใช่ปรับบทมาตรา289 (7)
ย่อยาว
คดี ๒ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยในคดีหลังว่าจำเลยที่ ๓ ข้อเท็จจริงในคดีมีว่า จำเลยทั้งสามถือปืนสั้นคนละกระบอกไปร่วมกันปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้ตาย โดยใช้ปืนจี้บังคับผู้ตายให้เข้าไปในห้องนอนและบังคับให้นอนคว่ำหน้าตรงทางเข้าประตูห้องนอนและจำเลยที่ ๒ เหยียบหลังผู้ตายไว้โดยมีจำเลยที่ ๑ ยืนคุมอยู่ที่ตรงศีรษะผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ ๓ เข้าไปในห้องนอนค้นหาทรัพย์ ครั้นค้นได้ทรัพย์แล้วก็เดินออกจากห้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ก็เดินตามไป แต่พอห่างผู้ตายได้ประมาณ ๒ ศอกผู้ตายผงกศีรษะขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงยิงผู้ตาย ๑ นัดถูกศีรษะผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยทั้งสามพากันหลบหนีไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙(๗), ๓๔๐, ๘๓ ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙(๗) อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีอายุไม่เกิน ๒๐ ปีสมควรลดมาตราส่วนโทษให้ตามมาตรา ๙๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีอายุไม่เกิน๒๐ ปี สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ตาม มาตรา ๗๖ หนึ่งในสาม ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้ลงโทษประหารชีวิต
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ทนายจำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เพราะจำเลยที่ ๑ ได้ถอนทนายไปแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓เป็นคนร้ายรายนี้จริงดังโจทก์ฟ้อง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๗) ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะปรากฏว่าเมื่อจำเลยที่ ๓ ได้ทรัพย์แล้วก็เดินออกจากห้องไปจำเลยที่ ๒ พูดว่า”กลับกันเถิดเว้ย พวกมึงมันขี้ตระหนี่เศรษฐีหน้าเลือด” และเดินตามจำเลยที่ ๓ไป ตอนนั้นจำเลยที่ ๑ ซึ่งยืนอยู่ตรงศีรษะผู้ตายก็เดินตามไปพอเดินคล้อยห่างผู้ตายไปประมาณ ๒ ศอก ผู้ตายผงกศีรษะขึ้น จำเลยที่ ๓ จึงยิงผู้ตาย เห็นได้ชัดว่าเพราะผู้ตายผงกศีรษะหรือเงยหน้าขึ้น คงเพื่อจะดูหน้าคนร้ายอันเป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นขณะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงยิงผู้ตาย จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้ร่วมกระทำในตอนนี้ด้วย การที่จำเลยทั้งสามกับพวกต่างมีอาวุธปืนร่วมกันปล้นทรัพย์หาพอที่จะฟังว่ามีเจตนาร่วมกันที่จะฆ่าเจ้าทรัพย์มาแต่แรกไม่ จึงควรปรับบทฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคท้าย จำเลยที่ ๒อายุกว่า ๑๗ ปี แต่ยังไม่เกิน ๒๐ ปี สมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ ประกอบด้วยมาตรา ๕๓(๑)ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑๖ ปี จำคุกจำเลยที่ ๓ ตลอดชีวิต