แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีระบุว่า โจทก์โดยส.และ บ.กรรมการ มอบอำนาจให้ก.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เป็นการมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อฟ้องคดีอาญาและหนังสือมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องได้เพียงคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ ก. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาเป็นหลายสำนวนได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ค่ากระป๋องและฝา กระป๋อง ให้แก่โจทก์จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ให้ล.เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยออกเช็คให้โจทก์รวม 6 ฉบับ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องโดยยกฟ้องเป็นสามสำนวน สำนวนแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 1 ฉบับ สำนวนที่ 2 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ สำนวนที่ 3 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ คำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนไม่ขอให้นับโทษจำเลยต่อ จึงนับโทษต่อกันไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้อง เป็นใจความว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม2534 จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขายานนาวา จำนวน 5 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 100,524.32 บาทลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2534, 1 สิงหาคม 2534, 1 กันยายน 2534 และ1 ธันวาคม 2534 กับเช็คธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัดสาขาสี่แยกสะพานกรุงเทพ ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2534 จำนวนเงิน80,000 บาท มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้า เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารเอเชียจำกัด สำนักงานใหญ่ เพื่อเรียกเก็บเงินให้แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” และ”เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามสำนวนมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 6 กระทงจำคุก 24 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์หรือไม่ ตามหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า โจทก์โดยนายสุทธิคำ แต่โสภาพงษ์ และนายสมบูญ แต่โสภาพงษ์ กรรมการมอบอำนาจให้นายสมเกียรติ พรไพศาลวงศ์เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นการมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อฟ้องคดีอาญาและหนังสือมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องได้เพียงคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ นายสมเกียรติผู้รับมอบอำนาจโจทก์ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นหลายสำนวนได้
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 จะเป็นความผิดต่อเมื่อออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่กรณีของจำเลยเป็นการสั่งจ่ายเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดนั้น เห็นว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยออกเช็คทั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ค่ากระป๋องและฝากกระป๋องให้แก่โจทก์ จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ให้บริษัทลักกี้เคนเนอรี่ จำกัด เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4ที่แก้ไขแล้วประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาตามฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายว่า คดีทั้งสามสำนวนศาลพิพากษาให้นับโทษจำเลยต่อกันเป็นการพิพากษาเกินคำขอขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 นั้น ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์รวม6 ฉบับ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงนำคดีมาฟ้องโดยแยกฟ้องเป็นสามสำนวน สำนวนแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 1 ฉบับ สำนวนที่ 2 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ สำนวนที่ 3 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ คำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนไม่ขอให้นับโทษจำนวนต่อเห็นว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวนไม่ได้ ขอให้พิพากษานับโทษจำเลยติดต่อกัน จึงนับโทษต่อกันไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันจึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพิพากษาว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษ ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 4 เดือน สำนวนแรกจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 เดือน สำนวนที่ 2 จำเลยกระทำผิด 3 กระทง รวมเป็นจำคุก 12 เดือน สำนวนที่ 3 จำเลยกระทำผิด 2 กระทงรวมจำคุก 8 เดือน