คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้น อายัดเงินของจำเลยไว้จนกว่าคดีถึงที่สุดศาลชั้นต้นอนุญาต จึงต้องถือว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นมีผลต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุดต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องและสั่งว่าหากติดใจอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วันนับแต่วันทราบคำสั่งครบกำหนดแล้วจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียม มาชำระศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย โจทก์ ยื่นคำแถลงว่า ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับ ขอให้แจ้งคำบังคับให้จำเลยทราบ ดังนี้แม้คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตาม คำพิพากษาต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าจำเลยจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษานั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) จำเลยไม่มีสิทธิ ขอให้ถอนการอายัดเงินดังกล่าว

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้เงินต้นที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยทั้งสองไปพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี

ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ก่อนพิพาทกันในคดีนี้ จำเลยที่ 2ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 500,000 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินจำนวนดังกล่าวจนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 28 กันยายน 2522 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย วันที่ 8 ตุลาคม 2522 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินของจำเลยต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นอนุญาตวันที่ 28 ตุลาคม 2522 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษา โดยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องและสั่งว่าหากยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้นำค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วันนับแต่วันทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2524 ครั้นวันที่ 6 พฤษภาคม 2524 ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถอนการอายัดเงินอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินของจำเลยต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นอนุญาตจำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าจำเลยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 7 วันตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย โจทก์จึงได้ยื่นคำแถลงว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับของศาล เพราะมิได้มาฟังคำพิพากษา ขอให้แจ้งคำบังคับให้จำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าบังคับภายใน 30 วันและการส่งคำบังคับถ้าไม่พบตัวและไม่มีผู้ใดรับแทนก็ให้ปิดคำบังคับได้ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์2526 จำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2526 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินการส่งคำบังคับให้จำเลยทั้งสองทราบ ดังนี้ แม้คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังไม่ทราบคำบังคับเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา ต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเท่าที่จำเลยเพื่อคำบังคับตามคำพิพากษานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2)จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีสิทธิขอให้ถอนการอายัดเงินดังกล่าว

พิพากษายืน

Share