แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยที่ 2 เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยที่ 1ให้โจทก์ โจทก์ได้วางเงินมัดจำและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาเป็นของโจทก์ แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากจำเลยที่ 1ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้โจทก์ได้ โจทก์จึงไปแจ้งความกล่าวหาจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันฉ้อโกง แล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสองไปเจรจากันที่สถานีตำรวจ โดยจำเลยที่ 1ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ การที่โจทก์และเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน หากไม่ทำก็จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 นั้น จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตเพราะตนมีสิทธิในมูลหนี้นั้น อันถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165สัญญาค้ำประกันฉบับพิพาทไม่ตกเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 140,000 บาท กำหนดชำระคืนในวันที่ 27 มิถุนายน 2537 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อถึงกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 เคยเป็นนายหน้าติดต่อให้จำเลยที่ 1ขายที่ดินให้แก่โจทก์ โดยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไว้เมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ได้เนื่องจากได้โอนที่ดินให้แก่ผู้อื่นไปแล้วโจทก์ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองโดยบังคับข่มขู่ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน มิฉะนั้นจะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาทำสัญญาสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 140,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังได้ว่าโจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยมีจำเลยที่ 2เป็นนายหน้า เมื่อครบกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่อาจโอนที่ดินให้โจทก์ได้เนื่องจากได้เอาที่ดินดังกล่าวไปขายให้กับผู้อื่นแล้ว โจทก์ได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองในข้อหาฉ้อโกง ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองไปเจรจากันที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสนามชัยเขตจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินจากโจทก์เป็นเงิน 140,000 บาทและจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงนายหน้าขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบหรือรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ในการฉ้อโกงโจทก์ การที่โจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจได้บีบบังคับให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชอบกับจำเลยที่ 1 โดยข่มขู่จะดำเนินคดีบ้าง จะขังจำเลยที่ 2 บ้าง จนจำเลยที่ 2 เกิดความกลัวต้องทำสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ถือว่าสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 เป็นโมฆะ เห็นว่า เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ โจทก์ได้วางเงินมัดจำและเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาเป็นของโจทก์ แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้โจทก์ได้ โจทก์จึงไปแจ้งความกล่าวหาจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันฉ้อโกง แล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสองไปเจรจากันที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสนามชัยเขต จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกัน การที่โจทก์และเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกัน หากไม่ทำก็จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริต เพราะตนมีสิทธิในมูลหนี้นั้นอันถือได้ว่าเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ไม่เป็นโมฆะ
พิพากษายืน