แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ15ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแต่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ15ต่อปีซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ31วรรคหนึ่งแม้ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดก็เป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบการที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์โดยมิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา52จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2535 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยทั้งสี่ ครั้งสุดท้ายได้รับค่าจ้างเดือนละ36,000 บาท ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2537 จำเลยทั้งสี่เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย คิดเป็นเงิน 144,000 บาท นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2537 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2537 จำเลยทั้งสี่สั่งให้โจทก์ทำงานล่วงเวลาทำงานตามปกติออกไปอีกวันละ 3 ชั่วโมง รวมโจทก์ทำงานล่วงเวลาสัปดาห์ละ 18 ชั่วโมงคิดเป็นค่าล่วงเวลาทั้งสิ้นเป็นเงิน 124,200 บาท จึงขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวกับเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสิบห้าทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระเงินเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างโจทก์ แต่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 แต่ผู้เดียวจำเลยที่ 4 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากสภาพงานที่โจทก์มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเสร็จสิ้นเรียบร้อยจึงเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมจำเลยที่ 4 ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนค่าล่วงเวลาที่โจทก์ฟ้องมาจำเลยที่ 4 ไม่ต้องจ่ายให้ เนื่องจากโจทก์เป็นหัวหน้างานมีอำนาจหน้าที่กระทำการแทนนายจ้างในกรณีการจ้างการลดค่าจ้าง การเลิกจ้าง การให้บำเหน็จ การลงโทษ หรือการกำหนดวันหยุด วันลา ให้แก่คนงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลาง กำหนด ประเด็น ข้อพิพาท ดังนี้
ข้อ 1. จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 เป็น นายจ้าง โจทก์ หรือไม่
ข้อ 2. จำเลย เลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม หรือไม่
ข้อ 3. จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลา และดอกเบี้ยหรือไม่ เพียงใด ต่อมาโจทก์ จำเลย แถลงสละประเด็นข้อพิพาทข้อ 2. เรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และประเด็นข้อ 3. เรื่องค่าเสียหาย ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 31 มีนาคม 2538
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยตามประเด็นข้อ 1 ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ร่วมทุนกันดำเนินกิจการใช้ชื่อจำเลยที่ 4จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงมีสภาพเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้กระทำการแทน แต่จำเลยที่ 4 ไม่มีสภาพบุคคลเพราะมิได้จดทะเบียน จำเลยที่ 4กระทำในนามของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตลอดมา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นนายจ้างโจทก์ สำหรับประเด็นข้อ 3 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นพนักงานในระดับบังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ทำงานแทนจำเลยสำหรับกรณีการจ้าง การลดค่าจ้าง การเลิกจ้าง และการลงโทษโจทก์ทำงานเกินกว่าเวลาทำงานตามปกติสัปดาห์ละ 18 ชั่วโมงแต่โจทก์เบิกความว่า วันปีใหม่โจทก์ไม่ได้มาทำงาน 2 วัน และในเดือนเมษายน โจทก์ไม่ได้มาทำงาน 3 วัน ทำให้ยอดเงินตามฟ้องในส่วนนี้ลดลงจำนวน 2,700 บาท ส่วนที่โจทก์ขอเป็นเงินเพิ่มมาในอัตราร้อยละสิบห้าทุกระยะเวลาเจ็ดวัน เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจผิดนัดไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้โจทก์จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้โจทก์ แต่จำเลยต้องจ่ายดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี พิพากษาให้จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระค่าล่วงเวลาให้โจทก์จำนวน 121,500บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3จะชำระเงินเสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินค่าล่วงเวลา โจทก์มีคำขอให้จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเป็นการขอให้บังคับจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 31 วรรคสอง แม้ว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทในประเด็นข้อ 3 ว่า จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใด ต่อมาโจทก์จำเลยแถลงขอสละประเด็นข้อ 3 เรื่อง ค่าเสียหาย คงเหลือประเด็นค่าล่วงเวลาและดอกเบี้ยโดยจำเลยมิได้คัดค้านการกำหนดประเด็นดังกล่าว แต่ประเด็นในคดีย่อมต้องเกิดจากคำฟ้องและคำให้การ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องถึงเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี ซึ่งกำหนดไว้ในประกาศดังกล่าวข้อ 31 วรรคหนึ่ง จึงเป็นการกำหนดประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ถือว่าการกำหนดประเด็นส่วนของดอกเบี้ยเป็นการไม่ชอบ แม้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ ก็ต้องถือว่าวินิจฉัยในเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานกลาง และตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 52 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องเว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้” จะเห็นว่าโดยหลักแล้วจะสั่งเช่นนั้นไม่ได้นอกจากจะเข้าข้อยกเว้น แต่ในคำพิพากษาศาลแรงงานกลางก็มิได้กล่าวว่ามีเหตุสมควรอย่างไรจึงให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าบาทต่อปีจากเงินค่าล่วงเวลาที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง