แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านเคยมีสาเหตุกับผู้ตายจำเลยที่ 1 หาพรรคพวกไปแกล้งจับผู้ตาย หาว่ากระทำความผิดอาญาโดยที่ผู้ตายเองก็เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกหลอกลวงเอาเงินจากพ่อค้าและราษฎรไปอยู่เหมือนกัน จำเลยที่ 1 กับพวกเอาโซ่มัดผู้ตาย เอาผู้ตายไปล่ามโซ่ไว้ใต้ถุนบ้านแล้วจำเลยที่ 1-2-3-4 กับพวกเอาตัวผู้ตายออกจากบ้านไป บอกว่าจะเอาตัวไปส่งจังหวัดในคืนวันเกิดเหตุผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไปจำเลยกับพวกเอาโซ่ลากคอผู้ตายไปแล้วร่วมกันฆ่าผู้ตายในระหว่างทางเห็นได้ว่าเมื่อตอนที่จำเลยกับพวกนำตัวผู้ตายออกจากบ้านไปนั้นจำเลยกับพวกอาจจะยังไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้ตายแต่การที่กลับมาเปลี่ยนใจฆ่าผู้ตายน่าจะเป็นเพราะผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไปก็ได้พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้าน บังอาจร่วมกับจำเลยอื่นและพวกที่หลบหนีอีก 1 คนมีปืนลูกซองยาว และปืนพกสั้นอย่างละ 1กระบอกเป็นอาวุธเข้าทำการจับกุมนายสมเกียรติ พุฒิวิทยะ หรือศรีนอกล่ามโซ่ใส่กุญแจมือ นำไปควบคุมกักขังไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 โดยเจจนาทุจริต แกล้งจับกุมด้วยสาเหตุโกรธเคืองเรื่องส่วนตัวแล้วจำเลยกับพวกที่หลบหนี ควบคุมตัวนายสมเกียรติออกไปจากบ้านพักของจำเลยที่ 1โดยเพทุบายว่าจะนำไปส่งอำเภอ ครั้นมาถึงระหว่างทางจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายนายสมเกียรติ และใช้ปืนพกสั้นและปืนลูกซองยาวยิงอีกอย่างละ 1 นัด เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสและถึงแก่ความตายในทันใดนั้น โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าให้ตายและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เนื่องด้วยผู้ตายเคยร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยที่ 1 จนถูกเจ้าพนักงานจับตัวดำเนินคดีฐานจ้างวานใช้ผู้อื่นหรือร่วมกันฆ่านายทองสา ศรีนอก น้องชายผู้ตาย จำเลยกับพวกได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วยลักษณะอันทารุณโหดร้ายและทรมาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 289, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2402 มาตรา 13
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ใช้อุบายกล่าวหาว่าผู้ตายเป็นผู้กระทำผิด จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้อำนาจจับผู้ตายไปกักขังไว้ที่บ้านจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำเลยที่ 3มีความผิดฐานสนับสนุนในการกระทำผิดฐานนี้ จำเลยทุกคนได้ร่วมกันฆ่านายสมเกียรติจริง แต่ตามพฤติการณ์ยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยได้ไตร่ตรองไว้ก่อน และจำเลยทำด้วยความทารุณโหดร้าย ความผิดของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย มาตรา 289 แต่เป็นความผิดตามบทมาตรา 288, 83 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำเลยที่ 3 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 86 และ 288 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13จำเลยที่ 2 ที่ 4 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 อันเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไว้ตลอดชีวิต จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับสารภาพ เป็นประโยชน์ในทางพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78, 53(2) คงจำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 คนละ 10 ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 บ้านน้ำสวยท่าสะอาด ตำบลน้ำสวยอำเภอเมืองเลย ผู้ตายเคยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ผู้ตายมีสาเหตุกับจำเลยที่ 1 แล้วผู้ตายก็อพยพไปอยู่ในท้องที่จังหวัดชัยภูมิ ผู้ตายบอกขายที่ดินที่บ้านน้ำสวยให้นายพวย บัวสาลี และได้นานายพวยมาที่บ้านน้ำสวน เพื่อจะดูที่ ๆ จะขาย ผู้ตายและนายพวยมาถึงบ้านน้ำสวยในวันเกิดเหตุได้มาขอนอนค้างคืนที่เรือนนายสมพงษ์ วันนั้นเวลาประมาณ 18.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ที่ 3 และนายชูบุตรจำเลยที่ 1 กับพวก ได้นำพวกอาสาสมัครรักษาดินแดนไปจับผู้ตายที่บ้านนายสมพงษ์ โดยจำเลยที่ 1บอกพวกอาสาสมัครรักษาดินแดนว่าผู้ตายเป็นคนร้าย จำเลยที่ 1 ใช้โซ่มัดแขนผู้ตายแล้วให้จำเลยที่ 3 จูงโซ่ที่ล่ามผู้ตายพาไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายขอให้นายพวยไปด้วย นายพวยก็ไป เมื่อไปถึงบ้านจำเลยที่ 1 แล้วได้มัดผู้ตายไว้กับเสาเรือนและล่ามโซ่ใส่กุญแจ ต่อมาเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 นำตัวผู้ตายออกจากบ้านว่าจะไปส่งที่เมืองเลย โดยจำเลยที่ 2, 3, 4 และนายชู ร่วมควบคุมไปด้วย ผู้ตายเรียกนายพวยให้ไปด้วย และจับหัวเข็มขัดของนายพวยไว้แน่น เมื่อไปถึงสามแยกห่างโรงเรียนประชาบาลประมาณ 3 เส้น จำเลยที่ 4 ใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตายแตก จำเลยที่ 4 กับนายชูเข้ารุมชกต่อยผู้ตาย ๆ ไม่ยอมเดินต่อไป จำเลยที่ 1 ให้ลากคอไป จำเลยที่ 3 ลากโซ่ที่ล่ามแล้วจำเลยที่ 1 พูดว่า ไปส่งที่สายตรวจพ่อวื่นไม่ต้องไปเมืองเลย จึงพากันคุมตัวผู้ตายลัดป่าละเมาะไปได้สัก 5 เส้น ถึงกลางทุ่งนาน้อย จำเลยที่ 1บอกให้หยุด นายชูดึงโซ่ผู้ตายจนเสียหลักล้มลง จำเลยที่ 4 เข้าเหยียบคอ จำเลยที่ 1 ก็ส่งปืนให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ยิงถูกผู้ตายที่เอวด้านหลัง จำเลยที่ 1 ยิงด้วยปืนลูกซองซ้ำอีก 1 นัดถูกที่เอวด้านหลังจำเลยที่ 4 ใช้มีดแทงสีข้างด้านขวา นายชูแทงที่เอว จำเลยที่ 2 เป็นคนจับขาผู้ตายพับและกดไว้ จำเลยที่ 1 พูดว่าตายแล้ว นายพวยเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหนีเข้าป่าไปจนสว่างจึงอาศัยรถบรรทุกปอกลับบ้านที่จังหวัดชัยภูมิ บอกเรื่องให้นายแสนบิดาผู้ตายทราบและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพผู้ตายฝังอยู่ที่นาจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ว่าจำเลยที่ 1 จะมีสาเหตุกับผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายแจ้งความหาว่าจำเลยที่ 1 จ้างคนฆ่านายทองสาน้องชายของผู้ตาย เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถูกจับระหว่างสอบสวนถึง 80 กว่าวันจึงได้รับการปล่อย เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องก็จริงแต่ขณะเดียวกันผู้ตายก็ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับน้องของผู้ตายหลอกลวงเอาเงินจากพ่อค้าและราษฎรตำบลน้ำสวย โดยอ้างว่าจะส่งปอให้ อาจเป็นเพราะผู้ตายก็มีคดีติดตัวอยู่เหมือนกัน จำเลยที่ 1 จึงนำพรรคพวกไปแกล้งจับเอาบ้างและเมื่อตอนที่นำตัวผู้ตายออกจากบ้าน จำเลยที่ 1 จึงนำพรรคพวกไปแกล้งจับเอาบ้าง และเมื่อตอนที่นำตัวผู้ตายออกจากบ้าน จำเลยที่ 1ว่าจะไปส่งเมืองเลย จำเลยที่ 1 กับพวกอาจจะยังไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้ตายแต่การที่กลับมาเปลี่ยนใจฆ่าผู้ตาย น่าจะเป็นเพราะผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไป จนถึงขั้นใช้ขวดสุราตีศีรษะผู้ตาย และดึงโซ่ลากคอกันไป แล้วจำเลยทั้งสี่ก็ร่วมกันลงมือฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงใจกันมาก่อนว่าจะจับผู้ตายไปฆ่า คดีจึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนดังที่โจทก์ฎีกามา
พิพากษายืน