คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเพื่อค้ำประกันความรับผิดในการปฏิบัติตามสัญญาที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อมีกำหนด 2 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปี ตามสัญญาด้วย การที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังเป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขในข้อนี้ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการพลเรือนในสังกัดของโจทก์ ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ลาไปศึกษาต่อชั้นปริญญาโทเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2523 ถึงวันที่ 18 สิงหาคม2525 โดยได้รับเงินเดือนเต็มจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่า เมื่อเสร็จการศึกษาไม่ว่าจะศึกษาสำเร็จหรือถูกเรียกตัวกลับ จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการต่อเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใดก็ดี จำเลยที่ 1 จะชดใช้เงินทุน เงินเดือน รวมทั้งเงินเพิ่มและเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อและจะจ่ายเงินเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีก 1 เท่า ของเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระไม่ครบยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยังไม่ได้ชำระร้อยละ15 ต่อปี และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ตามความรับผิดของจำเลยที่ 1 ทุกประการ เมื่อครบกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 ยังศึกษาไม่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดจึงขออนุมัติโจทก์ลาศึกษาต่อเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง มีกำหนดครั้งละ 4 เดือนรวม 8 เดือน โดยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนและเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพในระหว่างเวลาที่ศึกษา ซึ่งโจทก์ได้อนุมัติตามคำขอของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอลาออกจากราชการและโจทก์ได้มีคำสั่งอนุญาต จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการไปศึกษารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 411,397.71 บาท จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงต้องจ่ายเบี้ยปรับให้โจทก์อีก 1 เท่า ของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1ต้องชดใช้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 822,795.42 บาท และจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ครบกำหนดจะต้องนำเงินมาชำระถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 36,856.17 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้นเป็นเงิน 859,651.59 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 859,651.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาไว้ต่อโจทก์จริง โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อโดยได้รับทุนในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งข้อความในสัญญาหมายความว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการหลังจากที่ไปศึกษาครบ 2 ปี หรือไม่ครบก็ตาม จำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินที่ทางราชการได้จ่ายให้จำเลยที่ 1ไประหว่าง 2 ปี นั้น คืนแก่โจทก์พร้อมทั้งเงินค่าปรับอีก 1 เท่าแต่ไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในระหว่างศึกษาสำหรับระยะเวลาที่เกินกว่า 2 ปี หรือส่วนเวลาที่ทางราชการอนุมัติให้ศึกษาต่อไปไว้เลย จำเลยที่ 2 จึงหาต้องรับผิดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในช่วงที่เกินจาก 2 ปี ที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ต่อระยะเวลาศึกษาออกไปอันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาในช่วงเวลา 2 ปี และเอกสารแสดงจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียวจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับรู้ในความถูกต้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 822,795.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531 ไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (24 มิถุนายน 2531) ต้องไม่เกิน36,856.17 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 เฉพาะที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับภายในวันที่18 สิงหาคม 2525 กับเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ของหนี้ดังกล่าว และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในส่วนที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาศึกษาต่อเพิ่มเติมอีก 8 เดือน ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษา หรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศเอกสารหมาย จ.1มีข้อความระบุใจความว่า โจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อณ ต่างประเทศมีกำหนด 2 ปี พร้อมทั้งระบุความรับผิดของจำเลยที่ 1ในระหว่างที่ได้รับการอนุมัติให้ศึกษาต่อตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1ไว้ด้วย สัญญาดังกล่าวทำเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2523 ในวันเดียวกันนี้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2 ค้ำประกันความรับผิดการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อสัญญาดังกล่าว โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1ไปศึกษาต่อมีกำหนด 2 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปี ตามสัญญาด้วยการที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีกรวม 8 เดือนเป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้และเห็นว่าหากโจทก์มีความประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพิ่มเติม โจทก์สามารถจะเรียกจำเลยที่ 2 ให้มาทำสัญญาใหม่ก่อนอนุมัติได้ แต่โจทก์หาได้ทำไม่ การที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ขยายเวลาศึกษาต่อและให้ผู้ค้ำประกันขยายระยะเวลารับผิดตามหนังสือของโจทก์เอกสารหมาย จ.5 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขข้อนี้ด้วยจึงไม่อาจให้มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ได้ อีกทั้งข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ก็ไม่มีข้อความตอนใดให้เห็นว่า หากโจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีก จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดโดยไม่ต้องทำสัญญาใหม่ ดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share