แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดโจทก์ไปศึกษาต่อต่างประเทศมีกำหนด 2 ปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับความผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปีตามสัญญานั้น การที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีก 8 เดือน เป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการพลเรือนในสังกัดของโจทก์ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ลาไปศึกษาต่อชั้นปริญญาโทด้านธรณีวิทยาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2523 ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2525 โดยได้รับเงินเดือนเต็มจากโจทก์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2523 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่า เมื่อเสร็จการศึกษาทั้งนี้ไม่ว่าจะศึกษาสำเร็จหรือถูกเรียกตัวกลับ จำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือน ทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใดก็ดี จำเลยที่ 1จะชดใช้เงินทุน เงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อและจะจ่ายเงินเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีก1 เท่า ของเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนโดยจำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินทั้งหมดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระไม่ครบยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ยังไม่ได้ชำระร้อยละ 15 ต่อปี และวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ตามความรับผิดของจำเลยที่ 1 ทุกประการจำเลยที่ 1 ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสต์ หลุยส์เซียนาประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2523 ถึงวันที่18 สิงหาคม 2525 เมื่อครบกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 ยังศึกษาไม่เสร็จสมบูรณ์ตามกำหนด จึงขออนุมัติโจทก์ลาศึกษาต่อเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งมีกำหนด ครั้งละ 4 เดือน รวม 8 เดือน นับแต่วันที่ 19สิงหาคม 2525 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2526 โดยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนและเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพในระหว่างเวลาที่ศึกษาซึ่งโจทก์ได้อนุมัติตามคำขอของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 7พฤษภาคม 2526 จำเลยที่ 1 ขอลาออกจากราชการและโจทก์ได้มีคำสั่งอนุญาต จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการไปศึกษาคือ ค่าโดยสารเครื่องบิน เที่ยวไป ค่าเครื่องแต่งตัว ค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียน เงินเดือน และเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 411,397.71 บาท จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงต้องจ่ายเบี้ยปรับให้โจทก์อีก 1 เท่า ของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 822,795.42 บาท โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระแก่โจทก์ภายใน 30 วันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ครบกำหนดจะต้องนำเงินมาชำระถึงวันฟ้องเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 36,856.17 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งสิ้นเป็นเงิน 859,651.59 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 859,651.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 822,795.42 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อโดยได้รับทุนในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งข้อความในสัญญาหมายความว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการหลังจากที่ไปศึกษาครบ 2 ปีหรือไม่ครบก็ตาม จำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินที่ทางราชการได้จ่ายให้จำเลยที่ 1 ไประหว่าง 2 ปี นั้นคืนแก่โจทก์พร้อมทั้งเงินค่าปรับอีก 1 เท่า แต่ไม่มีข้อความตอนใดที่กล่าวถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในระหว่างการศึกษาสำหรับระยะเวลาที่เกินกว่า 2 ปี หรือส่วนเวลาที่ทางราชการอนุมัติให้ศึกษาต่อไปไว้เลย จำเลยที่ 2 จึงหาต้องรับผิดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1ในช่วงที่เกินกว่า 2 ปี ที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ต่อระยะเวลาศึกษาออกไปอันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1มิได้ประพฤติผิดสัญญาในช่วงเวลา 2 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน822,795.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531 ไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินแก่โจทก์ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน 36,856.17 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 เฉพาะที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับภายในวันที่ 18 สิงหาคม 2525 กับเบี้ยปรับอีก 1 เท่า ของหนี้ดังกล่าวและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดโจทก์ตำแหน่งวิศวกรปิโตรเลียม 4 กองเชื้อเพลิงธรรมชาติ โจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อชั้นปริญญาโทด้านธรณีวิทยาณ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ 19สิงหาคม 2523 ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2525 โดยได้รับเงินเดือนเต็มจากโจทก์และได้รับทุนอุดหนุนสัมปทานปิโตรเลียม จำเลยที่ 1ทำสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศให้ไว้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 1เดินทางไปศึกษาตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2523 เมื่อครบกำหนดเวลา 2 ปี จำเลยที่ 1 ขอลาศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ครั้งละ4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2525 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2526ซึ่งโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาศึกษาเพิ่มเติมได้ เมื่อครบกำหนดเวลาที่โจทก์อนุมัติให้ลาเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่ 1ไม่กลับเข้ามารับราชการตามสัญญาแต่ได้ขอลาออกจากราชการโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ลาออกได้ตั้งแต่วันที่ 7พฤษภาคม 2526 ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ลาศึกษาต่อดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้รับเงินทุนค่าเดินทาง ค่าเครื่องแต่งตัว เงินเดือนและเงินช่วยเหลือค่าครองชีพจากโจทก์รวมเป็นเงิน 411,397.71 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ในส่วนที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาศึกษาต่อเพิ่มเติมอีก 8 เดือนด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความระบุใจความว่า โจทก์ได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ มีกำหนด 2 ปี พร้อมทั้งระบุความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในระหว่างที่ได้รับการอนุมัติให้ศึกษาต่อตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ด้วย สัญญาดังกล่าวทำเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2523 ในวันเดียวกันนี้จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.2 ค้ำประกันความรับผิดการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อสัญญาดังกล่าวโจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1ไปศึกษาต่อมีกำหนด 2 ปี จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ภายในกำหนดเวลา 2 ปีตามสัญญาด้วย การที่โจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีกรวม 8 เดือน เป็นการอนุมัตินอกเหนือระยะเวลาตามสัญญาที่จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันความรับผิดไว้และเห็นว่าหากโจทก์มีความประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพิ่มเติม โจทก์สามารถจะเรียกจำเลยที่ 2 ให้มาทำสัญญาใหม่ก่อนอนุมัติได้ แต่โจทก์หาได้ทำไม่ การที่โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ขยายเวลาศึกษาต่อและให้ผู้ค้ำประกันขยายระยะเวลารับผิดตามหนังสือของโจทก์เอกสารหมาย จ.5 ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ได้รับรู้เงื่อนไขข้อนี้ด้วย จึงไม่อาจให้มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ได้ อีกทั้งข้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ก็ไม่มีข้อความตอนใดให้เห็นว่า หากโจทก์อนุมัติขยายเวลาให้จำเลยที่ 1 ศึกษาต่อเพิ่มเติมภายหลังอีก จำเลยที่ 2จะต้องร่วมรับผิดโดยไม่ต้องทำสัญญาใหม่ ดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากครบกำหนด 2 ปี ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน