คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8459/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

รถยนต์ของผู้เสียหายถูกถอดอุปกรณ์ส่วนควบออกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ คงเหลือซากที่เป็นรถยนต์ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรเปลี่ยนนำไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับอุปกรณ์ส่วนควบซึ่งเป็นของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้คืนแล้วพนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำรถยนต์ไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2548 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2548 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักทรัพย์รถยนต์ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ปฉ-6060 กรุงเทพมหานคร ราคา 517,840 บาท ของบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส แอคเซพแตนซ์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เสียหาย ขณะอยู่ในความครอบครองของนางจิรภา ไป ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2548 เวลากลางวันเจ้าพนักงานตรวจค้นพบชิ้นส่วนอุปกรณ์ส่วนควบของรถยนต์ของผู้เสียหายดังกล่าวจำนวน 20 รายการ เป็นของกลางซึ่งเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ทั้งนี้ จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกลักรถยนต์ดังกล่าวหรือรับของโจร ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวไว้จากคนร้ายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 357, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์จำนวน 517,840 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นางจิรภา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 (ที่ถูกมาตรา 357 วรรคแรก) จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 117,840 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า การที่จำเลยรับของโจรรถยนต์ของผู้เสียหายในสภาพถูกแยกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ ย่อมมีส่วนส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมประเภทอื่นติดตามมาอีกมากมาย ก่อให้เกิดผลประทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงแม้จำเลยจะได้ชดใช้ค่าเสียหายบางส่วนเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย ก็เป็นแต่เพียงการบรรเทาผลร้ายแห่งคดี การที่จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนหรือมีเหตุผลอื่นตามที่อ้างในฎีกาก็มิใช่เหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท นับว่าผู้เสียหายได้รับการบรรเทาผลร้ายแห่งคดีบ้างแล้ว จึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 517,840 บาท แก่ผู้เสียหายนั้นเป็นคำขอที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า รถยนต์ของผู้เสียหายแม้จะถูกถอดอุปกรณ์ส่วนควบออกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่างๆ แต่ก็คงเหลือซากที่เป็นรถยนต์ตามภาพถ่ายท้ายคำแถลงของโจทก์ร่วม ฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2550 มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรเปลี่ยนนำไปเป็นของอื่น เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับอุปกรณ์ส่วนควบ ซึ่งเป็นของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้คืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำรถยนต์ไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้แก้ไขให้ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 517,840 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share