แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” และไม่ได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 1 (1) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรมคือความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง ก. เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของบริษัท ฮ. เรียกรับสุรา 4 ขวด จากคู่ค้าของบริษัท ฮ. โดยอ้างว่าบริษัท ฮ. จะนำสุราดังกล่าวใช้ในการพาพนักงานเที่ยว แท้จริงแล้ว ก. กับเพื่อนร่วมงานนำสุราทั้ง 4 ขวด ใช้ในการเที่ยวส่วนตัว การกระทำของ ก. ทำในขณะที่ ก. มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อที่อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้า คู่ค้าจึงอาจเกรงใจจำยอมหรือยอมให้โดยไม่ได้สมัครใจอย่างแท้จริง จึงเป็นความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 25,740 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 15,730 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 8,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของแต่ละต้นเงินนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การด้วยวาจาขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 25,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ และการที่คู่ค้าของจำเลยได้รับโทรศัพท์จากโจทก์ขอสุราจากร้านโดยอ้างว่าบริษัทจำเลยจะไปเที่ยวในวันที่ 20 และ 21 ตุลาคม 2545 คู่ค้าของจำเลยหลงเชื่อตามโจทก์อ้างจึงให้สุราแก่โจทก์ไปรวม 4 ขวด การเรียกรับสุรานั้นจำเลยไม่ได้สั่งการ โจทก์ได้ใช้สุราทั้ง 4 ขวด ในการไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานประมาณ 30 คน โดยไปเที่ยวกันเองโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบมาก่อน ที่จำเลยอุทธณ์เป็นใจความว่า การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของโจทก์ในการจัดซื้อ จัดหา ตลอดจนคัดเลือกกลุ่ม สั่งซื้อของเข้าบริษัทจำเลย การที่โจทก์เรียกรับสุรา 4 ขวด จากคู่ค้า เป็นการแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองโดยทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของจำเลย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ข้อ 3.34 อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้วนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) กำหนดให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ไว้ และไม่ได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรม คือ ความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง การกระทำของโจทก์ที่ได้สุรา 4 ขวด มาจากคู่ค้าของจำเลยเพราะโจทก์เรียกรับเอาเอง ขณะที่โจทก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของจำเลย อันเป็นตำแหน่งที่อาจเอื้อประโยชน์หรือให้คุณให้โทษต่อคู่ค้า คู่ค้าจึงอาจเกรงใจ จำยอมหรือยอมให้โดยไม่ได้สมัครใจอย่างแท้จริง ทั้งการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจะนำเที่ยวในวันดังกล่าว คู่ค้าหลงเชื่อจึงให้สุราไป ความจริงโจทก์กับเพื่อนร่วมงานนำสุรา 4 ขวด ใช้ในการเที่ยวส่วนตัว การกระทำของโจทก์จึงเป็นความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น เมื่อได้ความว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด.