คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8440/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มีได้ 2 กรณี คือ กรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดไม่มีชื่อเป็นผู้สมัครในประกาศของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ผู้สมัครผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของตนได้ตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง และกรณีที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาไว้แล้ว แต่ต่อมาก่อนวันเลือกตั้งปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งดังกล่าวมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครผู้นั้นได้ตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง
ผู้ร้องยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 และผู้คัดค้านได้ประกาศชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว การที่ผู้คัดค้านมีหนังสือถึงผู้ร้องแจ้งว่าผู้ร้องมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภายหลัง จึงมิใช่กรณีที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องว่าเป็นผู้มีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งอันจะทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามความในมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ดังนั้น ตราบใดที่ผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องตามความในมาตรา 40 วรรคหนึ่ง ก็ต้องถือว่าผู้ร้องยังคงเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านประกาศรายชื่อว่าเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอยู่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีคำวินิจฉัยได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ในวันนัดพิจารณา ศาลฎีกาสอบข้อเท็จจริงจากผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดี จึงมีคำสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับสมัครผู้ร้องและประกาศให้ผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 37 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งได้รับใบสมัครของพรรคการเมืองใดแล้ว ให้ลงบันทึกการรับสมัครไว้เป็นหลักฐาน และออกใบรับให้แก่ผู้รับสมัครของพรรคการเมืองนั้นเรียงตามลำดับการยื่นใบสมัครตามมาตรา 36 และให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตรวจสอบหลักฐานการสมัคร คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครและสอบสวนว่าผู้สมัครมีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ให้เสร็จสิ้นภายในเจ็ดวันนับแต่วันปิดการรับสมัคร ถ้าผู้สมัครมีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งได้ก็ให้ประกาศการรับสมัครไว้โดยเปิดเผย…” มาตรา 39 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้สมัครผู้ใดไม่มีชื่อเป็นผู้สมัครในประกาศของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตามมาตรา 37 ให้ผู้สมัครนั้นมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ประกาศชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง… ถ้าศาลมีคำสั่งให้รับสมัคร ให้ประกาศชื่อผู้นั้นตามมาตรา 37 แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติก่อนทราบคำสั่งศาล” และมาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ก่อนวันเลือกตั้งถ้าปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัครผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยเร็ว ถ้าเห็นว่าผู้สมัครผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาไว้ 2 ขั้นตอน กล่าวคือ ขั้นตอนแรกเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งได้รับใบสมัครของผู้สมัครของพรรคการเมืองใดแล้ว แต่ไม่ประกาศชื่อผู้สมัครนั้นว่าเป็นผู้มีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากเห็นว่ามีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่งให้รับสมัครผู้รับสมัครนั้นได้ ส่วนขั้นตอนหลังเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้สมัครมีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งและได้ออกประกาศการรับสมัครไว้แล้ว แต่ต่อมาก่อนวันเลือกตั้ง หากผู้อำนวยการการเลือกตั้งเห็นว่าผู้สมัครผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ก็ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น กรณีของผู้ร้องข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากผู้ร้องยื่นใบสมัครเลือกตั้งแล้ว ผู้คัดค้านได้มีประกาศระบุว่า ผู้คัดค้านได้ตรวจสอบหลักฐานการสมัคร คุณสมบัติผู้สมัครและสอบสวนแล้วเห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 จึงประกาศรายชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัดพรรคไทยร่ำรวย หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร 16 ดังนี้ จึงมิใช่กรณีที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศชื่อผู้ร้องว่าเป็นผู้มีสิทธิที่จะสมัครรับเลือกตั้งอันจะเป็นผลให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามความในมาตรา 39 วรรคหนึ่ง หากผู้คัดค้านเห็นว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้คัดค้านจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องตามความใน มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แม้ผู้คัดค้านจะมีหนังสือแจ้งว่าผู้ร้องมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ตราบใดที่ผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาและศาลฎีกายังมิได้มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้อง ก็ต้องถือว่าผู้ร้องยังคงเป็นผู้ที่ผู้คัดค้านประกาศรายชื่อว่าเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอยู่ หนังสือของผู้คัดค้านที่แจ้งว่าผู้ร้องมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งหามีผลเป็นการเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีคำวินิจฉัยตามความใน มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

Share