คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ฟ้องนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 นั้น รถคันที่ลูกจ้างขับไปกระทำละเมิดนั้นจะเป็นของนายจ้างหรือไม่ไม่สำคัญ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปชนรถของโจทก์เสียหายแล้วจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้รับว่าจะซ่อมรถให้โจทก์ แต่แล้วก็ไม่ซ่อมให้ จำเลยที่ 2จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เพื่อความเสียหาย ที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานานด้วยจะอ้างว่าจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดแต่ผู้เดียวหาได้ไม่และการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้นเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย จะอ้างว่าโจทก์มีรถหลายคัน ไม่น่าจะขาดรถสำหรับใช้ หรือคาดไม่ถึงว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องให้เช่ารถนั้นด้วยหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถตั้งแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ได้ชดใช้ค่าซ่อมรถโจทก์แล้วความเสียหายของรถโจทก์จึงหมดสิ้นไปศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 กับที่ 2 ชำระค่าเสียหายในส่วนนี้ถึงวันที่จำเลยที่ 3ชดใช้ให้โจทก์นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒เอาประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ เลขทะเบียน ร.ย. ๐๐๔๔๕ ไว้กับจำเลยที่ ๓เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์คันที่กล่าวของจำเลยที่ ๒ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โดยประมาท ชนรถบดถนนของโจทก์ชำรุดเสียหาย ผู้แทนของโจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ตกลงว่าจะใช้ค่าเสียหายให้ แต่แล้วก็ไม่จัดการอย่างใด ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้ใช้รถบดถนนตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันฟ้องคิดเป็นค่าเช่าวันละ ๕๐๐ บาทแต่ขอคิดเอาเพียงวันละ ๑๕๐ บาทเป็นเงิน ๕๔,๐๐๐ บาทค่าเสียหายในการซ่อมรถ ๒๘,๙๔๐ บาท ค่าแรงซ่อมรถ ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๘๓,๔๐๐ บาทขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินจำนวนนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยและให้ใช้ค่าเสียหายวันละ ๑๕๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นเจ้าของรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับและจำเลยที่ ๑ มิได้ขับโดยประมาท รถของโจทก์เป็นฝ่ายผิดและเสียหายเพียง๑,๐๐๐ บาทกว่า ค่าเสียหายรายวันเป็นค่าเสียหายพิเศษที่คาดล่วงหน้าไม่ถึงโจทก์ไม่มีสิทธิเรียก
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ เฉพาะความเสียหายที่เกี่ยวกับตัวทรัพย์เท่านั้น ไม่ได้รับประกันถึงการขาดประโยชน์ของบุคคลภายนอกด้วย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต้องรับผิดในความเสียหายของรถโจทก์และค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้รถ ส่วนจำเลยที่ ๓ รับผิดแทนจำเลยที่ ๒เฉพาะค่าเสียหายที่เป็นค่าซื้อเครื่องอะไหล่และค่าแรงซ่อมและเห็นว่าทั้งสองฝ่ายประมาทพอกันให้จำเลยรับผิดแทนโจทก์เพียงครึ่งหนึ่ง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ๒ ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าเครื่องอะไหล่และค่าแรงซ่อมให้โจทก์๑๔,๙๗๐ บาทและค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถบดถนนวันละ ๗๕ บาท นับแต่วันที่๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จนกว่าจะใช้เงินเสร็จกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๓ ชำระแทนจำเลยที่ ๒เป็นเงิน ๑๔,๙๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประมาท จำเลยที่ ๓ ควรรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิ้น เพราะเป็นความผิดของจำเลยที่ ๓ ที่ไม่ชำระค่าเสียหายให้เสร็จ และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นเจ้าของรถคันที่เกิดเหตุ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าของรถคันที่เกิดเหตุนั้น ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถคันนี้อยู่ แต่อย่างไรก็ดี คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทชนรถของโจทก์เสียหาย ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งหมายความว่า ให้ร่วมรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และไม่ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ดังนั้นถ้าได้ความว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์จริงแล้วจำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมรับผิดด้วยอยู่แล้ว ไม่ว่ากรรมสิทธิ์ในรถคันที่จำเลยที่ ๑ขับนั้นจะเป็นของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ก็ตาม
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ มิได้ประมาท คนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทนั้น ฟังว่า เหตุที่เกิดการชนกันเป็นผลจากความประมาทของจำเลยที่ ๑
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๓ ต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นให้โจทก์การที่จำเลยที่ ๓ รับจะซ่อมรถให้โจทก์แล้วไม่ซ่อมทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้รถไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ ๒ จะใช้สิทธิต่อจำเลยที่ ๓ผู้รับประกันภัยประการใดย่อมเป็นไปตามสัญญาระหว่างกัน ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ที่มีต่อโจทก์หมดสิ้นไป เมื่อรถของโจทก์ถูกชนเสียหายใช้การไม่ได้เป็นเวลานานจากผลการละเมิดของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย จะอ้างไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดผู้เดียว
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้รถเป็นรายวันไม่ได้เพราะเป็นค่าเสียหายในกรณีพิเศษซึ่งจำเลยที่ ๒ คาดไม่ถึงนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๒จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถอันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ วรรคท้าย
ปรากฏตามสำนวนว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ ๓ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ ๓ ชำระค่าเสียหายของรถโจทก์ในนามของจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๔,๙๗๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และปรากฏตามหนังสือหัวหน้ากองหมายลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๐ว่า ผู้แทนโจทก์แถลงต่อกองหมายว่าจำเลยที่ ๓ ได้นำเงินไปชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามหมายบังคับคดีแล้ว ไม่ประสงค์จะดำเนินการบังคับคดีจำเลยที่ ๓ต่อไปจึงถือได้ว่าความเสียหายของรถโจทก์หมดสิ้นไปนับแต่วันตามหนังสือดังกล่าว โจทก์จึงชอบที่จะได้รับค่าเสียหายในการไม่ได้ใช้รถจนถึงวันที่ ๑๔กรกฎาคม ๒๕๑๐ เท่านั้น
พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนับแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จนถึงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๐ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share