แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้ซื้ออ้อยพิพาทจากบุคคลคนเดียวกับที่ขายให้โจทก์ แต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่ไม่มีอำนาจจะขายให้ฉะนั้น จะนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1303มาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้ให้ลูกจ้างตัดอ้อยในไร่โดยโจทก์ซื้ออ้อยมาจากนายขุนทอง และมอบให้นายขุนทองดูแลอ้อยไว้จำเลยได้ขนเอาอ้อยไป ๑๒ ตัน ปล่อยทิ้งไว้อีก ๒ ตัน ขอให้จำเลยใช้ราคาและค่าขาดประโยชน์ ฯลฯ
จำเลยให้การว่า อ้อยเป็นของจำเลย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอ้อยพิพาทโดยซื้อจากนายขุนทอง ถึงแม้จำเลยทั้งสองจะซื้ออ้อยรายเดียวกันนี้จากนายบุญมีโดยสุจริตก็จริง แต่คดีก็ฟังไม่ได้ว่านายบุญมีเป็นเจ้าของ จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เมื่อจำเลยทั้งสองใช้คนให้ไปตัดอ้อยของโจทก์โดยไม่มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการทำละเมิด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีมิใช่เป็นเรื่องบุคคลหลายคนเรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกัน โดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เพราะจำเลยทั้งสองมิได้ซื้ออ้อยพิพาทจากบุคคลคนเดียวกับที่ขายให้โจทก์ แต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่ไม่มีอำนาจจะขายให้ ฉะนั้น จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๓ มาใช้บังคับไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ปัญหาเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดเป็นเงินเท่าใดนั้น ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี