คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8433/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ทราบเป็นอย่างดีว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ที่โจทก์ทั้งสองได้ใช้กับกิจการให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมก่อนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 นำชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ไปขอจดทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 โดยนำชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ว่า “บริษัทไทยคมเทเลคอม จำกัด” โดยจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าอุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งบริการรับซ่อมและติดตั้งเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดอันเป็นวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการทำนองเดียวกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม และโจทก์ที่ 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการให้เช่าช่องสัญญาณสื่อสารดาวเทียมและจำหน่ายเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการเอาชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองมาใช้เป็นชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต เป็นการแสวงหาประโยชน์จากชื่อเสียงในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองโดยมิชอบและเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายและต้องเสื่อมเสียประโยชน์เนื่องจากประชาชนผู้ซื้ออุปกรณ์สื่อสารของบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมเข้าใจสับสนหรือหลงผิดว่าจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือโจทก์ทั้งสอง ส่งผลให้โจทก์ทั้งสองจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารของโจทก์ทั้งสองได้น้อยลง การกระทำของจำเลยทั้งสิบสองเป็นการละเมิดสิทธิในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 18, 420 และ 421 จำเลยทั้งสิบสองจึงไม่มีสิทธิใช้ชื่อ “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสิบสองใช้ชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองโดยมิชอบ โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ระงับความเสียหายและขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยที่ 1 ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ได้
โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสองดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 และห้ามจำเลยทั้งสิบสองใช้คำว่า “ไทยคม” และภาษาอังกฤษคำว่า “THAICOM” ทั้งในการเขียนและเรียกขานเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 หรือใช้ประกอบกิจการค้าของจำเลยที่ 1 แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 ให้สิทธิโจทก์ทั้งสองร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามจำเลยที่ 1 ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองคำว่า “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสองร่วมกันดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อของบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนจังหวัดสิงห์บุรี และห้ามจำเลยทั้งสิบสองใช้คำว่า “ไทยคม” และภาษาอังกฤษคำว่า “THAICOM” ทั้งในการเขียนและเรียกขานเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 หรือใช้ประกอบกิจการค้าของจำเลยที่ 1 ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสิบสอง หากจำเลยทั้งสิบสองไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสิบสอง
จำเลยทั้งสิบสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ร่วมกันจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ใช้ชื่อ “ไทยคม” และภาษาอังกฤษว่า “THAICOM” เป็นชื่อของจำเลยที่ 1 หรือใช้ประกอบกิจการค้าของจำเลยที่ 1 หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าว กับให้จำเลยทั้งสิบสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยทั้งสิบสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสิบสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสิบสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสิบสองว่า จำเลยทั้งสิบสองมีสิทธิใช้ชื่อ “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 หรือไม่ และโจทก์ทั้งสองมีสิทธิห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อ “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 หรือไม่ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ได้ทราบเป็นอย่างดีว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ที่โจทก์ทั้งสองได้ใช้กับกิจการให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมก่อนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 นำชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ไปขอจดทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 โดยนำชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ว่า “บริษัทไทยคมเทเลคอม จำกัด” โดยจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าอุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งบริการรับซ่อมและติดตั้งเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด อันเป็นวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการทำนองเดียวกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม และโจทก์ที่ 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการบริการให้เช่าช่องสัญญาณสื่อสารดาวเทียมและจำหน่ายเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองเช่นนี้ จึงเป็นการเอาชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองมาใช้เป็นชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต เป็นการแสวงหาประโยชน์จากชื่อเสียงในชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองโดยมิชอบและเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายและต้องเสื่อมเสียประโยชน์เนื่องจากประชาชนผู้ซื้ออุปกรณ์สื่อสารของบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมเข้าใจสับสนหรือหลงผิดว่าจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือบริษัทโจทก์ทั้งสองหรือกิจการค้าของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นกิจการค้าของบริษัทโจทก์ทั้งสอง ส่งผลให้โจทก์ทั้งสองจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารของโจทก์ทั้งสองได้น้อยลง การกระทำของจำเลยทั้งสิบสองเป็นการละเมิดสิทธิในชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 18, 420 และ 421 จำเลยทั้งสิบสองจึงไม่มีสิทธิใช้ชื่อ “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสิบสองใช้ชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองโดยมิชอบ โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ระงับความเสียหายและขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยที่ 1 ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ได้
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ร่วมกันจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะบทบัญญัติมาตรา 18 แห่ง ป.พ.พ. ให้สิทธิโจทก์ทั้งสองร้องขอต่อศาลให้สั่งห้ามจำเลยที่ 1 ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ทั้งสองคำว่า “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมมีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 ต้องตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาใช้แทนชื่อเดิม คำขอบังคับของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคำขอบังคับที่ไม่อาจทำได้โดยการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 การที่ศาลพิพากษาห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อทางการค้าคำว่า “ไทยคม” ของโจทก์ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ไม่อาจประกอบกิจการค้าอุปกรณ์การสื่อสาร บริการรับซ่อมและติดตั้งเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดภายใต้ชื่อ “บริษัทไทยคมเทเลคอม จำกัด” ได้อีก เป็นการระงับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่โจทก์ทั้งสองต่อไปอยู่ในตัวแล้ว หาจำต้องสั่งให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่อาจทำได้ด้วยเหตุผลดังกล่าวอีกไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยที่ 1 ใช้ชื่อ “ไทยคม” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 คำขออื่นของโจทก์ทั้งสองนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยทั้งสิบสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท.

Share