คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะปรับบทว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ชอบที่จะต้องพิจารณาในฐานความผิดเป็นกระทง ๆไป เสมือนมิได้ร่วมแต่ละกระทงความผิดฟ้องมาในคดีเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้คนตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2+1 กระทงหนึ่งและผิดฐานขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติรถยนต์มาตรา 16,33 อีกกระทงหนึ่ง แต่ให้ลงโทษฐานขับรถโดยประมาทซึ่งเป็นกระทงหนักแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ลดโทษให้แล้ว ลงจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังว่ารูปคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยประมาท พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลย 50 บาท ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ฯมาตรา 16,33 นอกนั้นให้ยกเสีย ทั้งนี้ ในกระทงความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นพิพากษากลับกันตรงข้ามนั้น ไม่ใช่เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขตามนัยแห่งกฎหมาย จึงปรับบทให้ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหาได้ไม่ โจทก์ชอบที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในกระทงความผิดฐานนี้ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2507)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ขับขี่รถยนต์บรรทุกเลขหมาย น.บ.๐๐๔๖๕ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่ ได้ขับขี่จักรยานยนต์เลขหมาย ก.ท.๑๔๖๐๑ มีเด็กชายเส็งนั่งซ้อนท้าย จำเลยทั้ง ๒ ได้ขับขี่รถดังกล่าวมาทางเดียวกันถึงสี่แยกจักรวรรดิ์ ได้หยุดรถรอสัญญาณโดยจอดคู่กันอยู่ในช่องทางสำหรับรถเดินทางตรงไปสี่แยกเอส.เอ.บี. เมื่อมีสัญญาณให้ผ่านได้ จำเลยทั้งสองได้ขับรถออกแล่นตรงไปโดยขับรถขนานชิดกันไป ไม่ขับให้ห่างกันตามสมควร รถทั้งสองจึงได้เบียดกระทบกันทำให้รถจำเลยที่ ๒ เสียการทรงตัวและล้มลง เป็นเหตุให้เด็กชายเส็งตกลงมาถูกรถยนต์จำเลยที่ ๑ ทับถึงแก่ความตาย และจำเลยที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัสถึงขาหัก ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑,๓๐๐ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๒ฯลฯ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๔๗๗ ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๑ รับว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่จริง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้คนตาย ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ประกอบกับพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา ๒๙,๖๖ แก้ไข(ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๕๑ มาตรา ๔ กระทงหนึ่ง และผิดพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๑๖,๓๓ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นกระทงหนักกระทงเดียวตาม มาตรา ๙๑ โดยให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ลด๑ใน ๓ ตามมาตรา๗๖ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑ ปี ส่วนจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิด ให้ยกฟ้องปล่อยตัวไป
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า รูปคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ประมาท พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๕๐ บาทตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.๒๔๗๓ มาตรา ๑๖,๓๓ ฐานขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่มีใบอนุญาต นอกนั้นให้ยกเสีย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๐ หรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ลงโทษจำเลยฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วย ศาลลงโทษเฉพาะฐานขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตฐานเดียวเช่นนี้ แม้จะได้ชื่อว่าพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นเพียงการใช้ถ้อยคำให้เข้ากับแบบของคำพิพากษาเท่านั้น ส่วนเนื้อแท้ของคดีย่อมเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าในส่วนความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นพิพากษากลับกันตรงกันข้ามทีเดียว หาใช่พิพากษาแก้น้อยแก้มากอย่างใดไม่ เมื่อเนื้อแท้ของคดีเป็นดังนี้จะปรับบทว่าคดีต้องห้ามฎีกาหรือไม่ จึงชอบที่จะต้องพิจารณาในฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไป เหมือนมิได้รวมแต่ละกระทงความผิดฟ้องมาในคดีเดียวกัน เพราะตามกฎหมายโจทก์จะฟ้องแต่ละกระทงความผิดรวมในคดีเดียวกันก็ได้ หรือจะแยกแต่ละกระทงความผิดฟ้องเป็นคดี ๆ ไปก็ได้ และไม่มีเหตุอันชอบด้วยความเป็นธรรมอย่างใดที่จะให้ข้อจำกัดฎีกาต้องแตกต่างกันเป็นว่าในกรณีที่รวมฟ้องเป็นคดีเดียวกันแล้วต้องห้ามมิให้ฎีกา ส่วนแยกฟ้องเป็นคดี ๆ หาต้องห้ามฎีกาไม่ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงมีมติว่า คดีนี้
เฉพาะในกระทงความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทซึ่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นพิพากษากลับกันตรงข้ามมานั้น ไม่ใช่เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขตามนัยแห่งกฎหมาย จึงปรับบทให้ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา ๒๒๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหาได้ไม่ ชอบที่โจทก์จะฎีกาได้ไม่ว่าในปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปแล้วฟังว่าจำเลยที่ ๒ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอแก่วิสัยและพฤติการณ์ในขณะที่ขับขี่รถไปนั้นจนเป็นเหตุให้เด็กชายเส็งถึงแก่ความตาย พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ด้วยอีกกระทงหนึ่ง จำคุก ๑ ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้ตามมาตรา ๕๖ มีกำหนด ๓ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลอุทธรณ์

Share