แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยได้บรรยายฟ้องว่า”จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันทำปลอมหนังสือสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมของห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจพ. ซึ่งมีส.ผู้เสียหายจำเลยที่1และที่4เป็นหุ้นส่วนของห้างดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายในเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งมีข้อความว่าให้ผู้เสียหายออกจากการเป็นหุ้นส่วนโดยโอนเงินลงหุ้นจำนวน200,000บาทให้แก่จำเลยที่1โอนเงินลงหุ้นจำนวน50,000บาทให้แก่จำเลยที่2และโอนเงินลงหุ้นจำนวน150,000บาทให้แก่จำเลยที่3ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารที่จำเลยทั้งสี่ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง”ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้ระบุชัดแล้วว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมพร้อมทั้งระบุข้อความที่ปลอมนั้นด้วยจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องให้ละเอียดว่าจำเลยคนใดร่วมกันปลอมเอกสารดังกล่าวอย่างไรก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันมอบหมายให้ส.นำเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมไปยื่นต่อนายทะเบียนณสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดเพื่อจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจนเป็นเหตุให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำเอกสารดังกล่าวซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จและลงลายมือชื่อของโจทก์ร่วมปลอมในเอกสารนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการร่วมกันทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารนั้นทั้งฉบับเป็นเอกสารที่แท้จริงและจำเลยทั้งสี่ได้ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวนี้ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนจำเลยทั้งสี่จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 มกราคม2534 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2534 เวลากลางวันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสี่ร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมของห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตร ซึ่งมีนายสันติ กาญจนยนต์ ผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นหุ้นส่วนของห้างดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายในเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งมีข้อความว่าให้ผู้เสียหายออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยโอนเงินลงหุ้นจำนวน200,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 โอนเงินลงหุ้นจำนวน 150,000 บาทให้แก่จำเลยที่ 3 และโอนเงินลงหุ้นจำนวน 50,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ให้รับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตร ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารที่จำเลยทั้งสี่ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง ซึ่งผู้เสียหายได้แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนโดยผู้เสียหายได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตร โดยการโอนเงินลงหุ้นไปให้จำเลยทั้งสี่และได้ลงลายมือชื่อในสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวอันเป็นหลักฐานในการเปลี่ยนแปลง โอนและระงับสิทธิในหุ้นส่วนและเงินลงหุ้นจำนวน 400,000 บาท ของผู้เสียหายในห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตร อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและประชาชนและเมื่อระหว่างวันที่30 มกราคม 2534 เวลากลางวัน ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสี่ได้กระทำปลอมเอกสารสิทธิดังกล่าวแล้วถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534เวลากลางวัน จำเลยทั้งสี่ได้นำสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมอันเป็นเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวไปใช้และอ้างต่อนายยงยุทธ เกษตรสุนทรและนายสมพงศ์ ปิ่นทองพันธุ์ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสงขลา เพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารสัญญาที่แท้จริงซึ่งผู้เสียหายได้เปลี่ยนแปลงความเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยทั้งสี่จริง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสี่รู้อยู่แล้วว่าเอกสารสัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม การใช้และอ้างเอกสารดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ทำให้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตรและน่าจะเกิดความเสียหายต่อนายยงยุทธ นายสมพงศ์และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 264, 265, 268
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสันติ กาญจยนต์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 ประกอบมาตรา 83 แต่จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว จึงให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก แต่กระทงเดียวตาม มาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 265 จำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีรายละเอียดที่จะทำให้จำเลยทั้งสี่เข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ได้ระบุว่าจำเลยแต่ละคนทำปลอมเอกสารอย่างไร ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158เห็นว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหาว่าร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยได้บรรยายฟ้องว่า “จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันทำปลอมหนังสือสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมของห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตร ซึ่งมีนายสันติ กาญจยนต์ผู้เสียหายจำเลยที่ 1 และที่ 4 เป็นหุ้นส่วนของห้างดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายในเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งมีข้อความว่าให้ผู้เสียหายออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยโอนเงินลงหุ้นจำนวน 200,000 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 โอนเงินลงหุ้นจำนวน 50,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2และโอนเงินลงหุ้นจำนวน 150,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เอกสารที่จำเลยทั้งสี่ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง” ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้ระบุชัดแล้วว่า จำเลยทั้งนี้ได้ร่วมกันปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในเอกสารสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมพร้อมทั้งระบุข้อความที่ปลอมนั้นด้วย จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องให้ละเอียดว่าจำเลยคนใดร่วมกันปลอมเอกสารดังกล่าวอย่างไร ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้และวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า โจทก์ร่วมได้นำเครื่องกลึงและอุปกรณ์อื่นประเมินราคารวมทั้งสิ้น 400,000 บาท มาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจไพบูลย์ร่วมมิตรด้วย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ตามกฎหมาย และฟังว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันมอบหมายให้นายยุวสันต์นำสัญญาหุ้นส่วนแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.2 ไปยื่นต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสงขลาเพื่อจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจนเป็นเหตุให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้ พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยทั้งสี่ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งดำเนินการให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้ดังกล่าวนี้เชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำเอกสารหมายจ.2 ซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จและลงลายมือชื่อของโจทก์ร่วมปลอมในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการร่วมกันทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารหมาย จ.2ทั้งฉบับเป็นเอกสารที่แท้จริงจำเลยทั้งสี่ได้ใช้เอกสารปลอมดังกล่าวนี้ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยทั้งสี่จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามฟ้อง และเห็นว่า คดีนี้กฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 2 ปี นับว่าพอสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนโทษให้เบาลงอีก อย่างไรก็ตามปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งมีบุตรผู้เยาว์อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูหลายคน ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสี่กลับตัวสักครั้งหนึ่งโดยการรอการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 แต่เห็นควรปรับจำเลยทั้งสี่อีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติของจำเลยทั้งสี่ไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 6,000 บาทอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสี่โดยให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3