คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายคนเดียวโดยขาดพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยประกอบกับขณะที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จำเลยกับพวกรวม 4 คน รุม ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย ผู้เสียหายสวมแว่นสายตา เป็นประจำ คนร้ายเอามือปิดตา และทำร้ายบริเวณใต้ตา จากลักษณะบาดแผลที่ตา ถ้าผู้เสียหายใส่แว่นตาแว่นตาน่าจะแตก เชื่อว่าแว่นสายตาของผู้เสียหายน่าจะหลุดตอนถูกคนร้ายเอามือปิดตา หรือหลุดหรือแตก ขณะถูกทำร้ายใต้ตา ผู้เสียหายอ้างว่าเห็นหน้าจำเลย ขณะที่ผู้เสียหายล้มลงจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจะมองเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความประพฤติประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ให้จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานคือผู้เสียหายปากเดียวที่เบิกความว่า จำเลยร่วมกับพวกอีก 4 คนรุมชกต่อยทำร้ายพยานได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายเองว่าหลังเกิดเหตุพยานได้บอกแก่พระเทพเมธากร รองเจ้าอาวาสวัดราชผาติการามว่าจำเลยเป็นคนร้าย และเมื่อผู้เสียหายไปแจ้งความต่อตำรวจก็ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายเช่นกัน แต่โจทก์ก็มิได้นำพระเทพเมธากรหรือตำรวจที่รับแจ้งความมาสืบให้เห็นว่าผู้เสียหายได้บอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายดังที่ผู้เสียหายเบิกความที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า พระเทพเมธากรเป็นพระภิกษุไม่ประสงค์จะให้การเป็นพยานนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะผู้เสียหายเป็นผู้รับใช้ปรนนิบัติพระเทพเมธากรมาเป็นเวลานานแล้ว และผู้เสียหายถูกทำร้ายครั้งนี้ก็เนื่องมาจากการดูแลรักษาผลประโยชน์ให้วัดหากผู้เสียหายระบุชื่อคนร้ายจริง พระเทพเมธากรก็น่าจะเป็นพยานให้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ที่ไม่นำสืบพนักงานสอบสวนให้เห็นว่าผู้เสียหายได้ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายในขณะแจ้งความก็เพราะจำเลยยอมรับการสอบสวนนั้น เห็นว่า โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าคดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวคือผู้เสียหาย คำแจ้งความของผู้เสียหายที่ระบุชื่อคนร้ายในทันทีทันใดหลังเกิดเหตุย่อมเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญแม้จำเลยจะยอมรับการสอบสวนก็ตาม แต่ก็ยอมรับเพียงว่าร้อยตำรวจโทสุภากร คำสิงห์นอก เป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้จริงเท่านั้น โจทก์น่าจะนำสืบพนักงานสอบสวนหรืออ้างส่งเอกสารให้ปรากฏในข้อที่ว่า ขณะที่ผู้เสียหายแจ้งความได้ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้าย เมื่อโจทก์มีแต่คำเบิกความของผู้เสียหายคนเดียวโดยขาดพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนเช่นนี้ จึงทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อย ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนและผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายสวมแว่นสายตาเป็นประจำ เมื่อเริ่มทำร้ายคนร้ายเอามือปิดตาผู้เสียหาย และผู้เสียหายถูกทำร้ายที่บริเวณใต้ตาซึ่งแพทย์หญิงพิไลวรรณ สมุทรพงษ์ ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายเบิกความว่า จากลักษณะบาดแผลที่ตา ถ้าผู้เสียหายใส่แว่นตา แว่นตาน่าจะแตกไปแล้ว จึงเชื่อว่าแว่นสายตาของผู้เสียหายน่าจะหลุดออกตอนถูกคนร้ายเอามือปิดตาหรือมิฉะนั้นก็หลุดหรือแตกในขณะถูกทำร้ายที่บริเวณใต้ตา ขณะที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนล้มลงนั้น น่าจะมิได้สวมแว่นตาแล้ว ที่ผู้เสียหายอ้างว่าเห็นหน้าจำเลยขณะที่ผู้เสียหายล้มลงแล้วจึงยังเป็นที่น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจะมองเห็นคนร้ายได้ชัดเจนหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา227 วรรคสอง…”
พิพากษายืน.

Share