แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้คำฟ้องของโจทก์พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใด และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตามแต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปในวันใดแน่ จึงต้องฟังเป็นคุณว่าจำเลยลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายในในวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 แล้วปลอมหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินดังกล่าว ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 จำเลยนำหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ทำขึ้นไปใช้ในการทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ตนเอง การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้เสียหายเป็นสำคัญ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ ส่วนหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้มอบอำนาจมอบให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนผู้มอบอำนาจเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใด จึงไม่ใช่เอกสารสิทธิ การที่จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจและใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น
เมื่อกรณีเป็นการลักทรัพย์โฉนดที่ดินของผู้เสียหายทรัพย์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเป็นเอกสารคืนโฉนดที่ดิน พนักงานอัยการคงมีสิทธิเรียกคืนได้แต่โฉนดที่ดินเท่านั้น จะขอให้จำเลยใช้เงิน 1,000,000 บาท เท่ากับราคาที่ดินตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 หาได้ไม่ เพราะไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับมูลค่าของที่ดินแม้โฉนดที่ดินสูญหายไปก็ยังฟ้องเรียกร้องที่ดินกันได้ มิใช่ว่าที่ดินจะสูญไปด้วย ที่ดินยังคงอยู่ผู้เสียหายชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกทรัพย์คืนได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม 2543 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยลักโฉนดที่ดินเลขที่ 156315 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน และที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าราคา 1,000,000 บาท ของนายเชื่อม ผู้เสียหายไปโดยทุจริต และปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลย อันเป็นการเอาไปเสียและทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารสิทธิโดยนำหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไปกรอกข้อความให้ปรากฏความหมายว่า ผู้เสียหายมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 156315 ดังกล่าวของผู้เสียหาย และสามารถทำนิติกรรมแทนผู้เสียหายได้ และจำเลยยังได้ปลอมลายมือชื่อของนางสาวสุนิสา ลงในช่องพยานของหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโดยผู้เสียหายและนางสุนิสาไม่ได้ยินยอมให้จำเลยกระทำการดังกล่าว เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจที่แท้จริงของผู้เสียหาย โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย นางสาวสุนิสา ผู้อื่นและประชาชน และวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปใช้อ้างแสดงยื่นต่อนายธนัชพงศ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมาเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 156315 ดังกล่าวให้แก่จำเลย ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายธนัชพงศ์ กรมที่ดิน ผู้เสียหาย นางสาวสุนิสา ผู้อื่นและประชาชน เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 264, 265, 334, 91 ให้จำเลยคืนโฉนดที่แท้จริง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเป็นเงิน 1,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 264 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก วรรคสอง, 334 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่ผู้เสียหาย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน 1,000,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ให้จำคุก 6 เดือน ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม 2543 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยลักโฉนดที่ดินเลขที่ 156315 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของผู้เสียหายไป แล้วจำเลยปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายและโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลย อันเป็นการเอาไปเสียและทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจโดยนำหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความไปกรอกข้อความให้ปรากฏความหมายว่า ผู้เสียหายมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าวและสามารถทำนิติกรรมแทนผู้เสียหายได้ และปลอมลายมือชื่อนางสาวสุนิสา ในช่องพยานเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย นางสาวสุนิสา ผู้อื่นหรือประชาชน ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 เวลากลางวัน จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมดังกล่าวไปยื่นแสดงต่อนายธนัชพงศ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นหลักฐานในการทำสัญญาขายที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าว เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใด และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปในวันใดแน่ จึงต้องฟังเป็นคุณว่าจำเลยลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปในวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 แล้วปลอมหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยขายที่ดินดังกล่าว ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 จำเลยนำหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ทำขึ้นไปใช้ในการทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ตนเอง การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้เสียหายเป็นสำคัญ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ ส่วนหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนผู้มอบอำนาจเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใด จึงมิใช่เอกสารสิทธิ การที่จำเลยปลอมหนังสือมอบอำนาจและใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรแรก เท่านั้น นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 เมื่อกรณีเป็นการลักทรัพย์โฉนดที่ดินของผู้เสียหาย ทรัพย์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเป็นเอกสารหรือโฉนดที่ดิน พนักงานอัยการคงมีสิทธิเรียกคืนได้แต่โฉนดที่ดินเท่านั้น จะขอให้จำเลยใช้เงิน 1,000,000 บาท เท่ากับราคาที่ดินหาได้ไม่ เพราะไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับมูลค่าของที่ดิน แม้โฉนดที่ดินสูญเสียไปก็ยังฟ้องเรียกร้องที่ดินกันได้ มิใช่ว่าที่ดินจะสูญไปด้วย ที่ดินยังคงอยู่ ผู้เสียหายชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกทรัพย์คืนได้ ที่ศาลอุทธณณ์ภาค 3 พิพากษาในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยปรากฏว่าภายหลังจากที่จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องแล้ว จำเลยยังได้นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นจำนวนเงินสูงถึง 1,000,000 บาท แล้วเอาเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและธนาคาร พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, มาตรา 334, มาตรา 264 วรรคแรก, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่กระทงเดียว การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรลงโทษกักขัง 3 เดือน แทนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมและยกคำขอให้จำเลยใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน 1,000,000 บาท แทนหากจำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่ผู้เสียหายไม่ได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3